เมื่อ 24 ปีก่อน ผู้คนรอบตัวของผู้กำกับคลื่นลูกใหม่เมืองไทย ‘เป็นเอก รัตนเรือง’ ถูกเลิกจ้างภายใต้การพังทลายของระบบเศรษฐกิจไทยในนามวิกฤตต้มยำกุ้ง จนจุดไอเดียให้เขาเริ่มทำหนัง ‘เรื่องตลก69’ ที่ถ่ายทอดโชคชะตาอันแสนโหดร้ายนั้นผ่านเรื่องราวของ “ตุ้ม” ผู้ต้องเผชิญกับชุดเหตุการณ์เซอร์ ๆ ที่ตามมาไม่อย่างไม่หยุดหย่อน เพียงเพราะเงินกล่องเดียว
ในวันที่เรื่องตลก 69 กลายเป็นซีรีส์ ตุ้มก็ยังคงประสบกับโชคชะตาเดิม จากการถูกเลย์ออฟออกจากที่ทำงานด้วยวิกฤติอีกรูปแบบหนึ่ง
แน่นอนว่าหนังที่หยิบมาทำใหม่ย่อมมีอะไรเปลี่ยนไป ตามการเติบโตของคนสร้าง และแพลตฟอร์มที่รองรับความวายป่วงขนาดยาวขึ้น
ในบทสัมภาษณ์สั้น ๆ นี้ เป็นเอกชวนเรามองความต่อเนื่องใน ประวัติศาสตร์ขนาดยาวตั้งแต่ปี 2542 - 2566 ที่ยังบอกเนื้อแท้ของสังคมไทย อันมี “ความเสือก” เป็นตัวต้นเรื่องที่แท้จริง และเล่าเคล็ดลับเก็บความหมกมุ่นให้สดใหม่ยาวนาน ในฐานะคนทำหนังที่ข้ามยุคฟิล์มมาสู่ยุคสตรีม
เป็นเอกในยุคสมัยอันยาวนานแห่งการเสือก
เหตุการณ์วุ่นวายทั้งหมดในเรื่องตลก 69 อาจต้นเริ่มที่พัสดุส่งผิดเพียงกล่องเดียว แต่อีกแง่หนึ่ง ถ้าตัดความเสือกออกไป อะไรทั้งหลายก็คงไม่บานปลายกันใหญ่อย่างนี้ จนอาจเรียกได้ว่านิสัยไทย ๆ (?) นี้ เป็นต้นเหตุที่แท้จริง ซึ่งมีมาตั้งแต่ก่อน และดูเหมือนว่าจะยังเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมหลักยุคปัจจุบัน
“ผมไม่รู้ว่ามันจำกัดอยู่แค่วัฒนธรรมไทยหรือเปล่า แต่ความเสือกของคน คนขี้เสือกจะเสือกกันไปมา อยู่ในแฟลตหลังหนึ่ง ไอ้นี่จะไปตำส้มตำ จะไปหยิบน้ำปลา ก็ไปดูห้องเขา เป็นแบบนี้ รู้ว่าเขามีแฟน ก็แอบไปดูเขา ตำรวจก็พยายามจะไปเสือกว่าขอปีนระเบียงไปดูวัยรุ่นเล่นยาที่อยู่ห้องข้าง ๆ ได้มั้ย ซึ่งตรงนั้นมันมาจากการตั้งข้อสังเกตเวลาเราเห็นคนอยู่แฟลตว่ามันมีพฤติกรรมอย่างไร เราก็เพิ่มให้มันมีความเวอร์ ๆ ไปนิดนึง ให้มันเป็นดราม่าตลกขึ้น”
ผ่านมา 24 ปี เรื่องตลก 69 ถูกหยิบมาเล่าใหม่ในฉบับซีรีส์ยาวขึ้นหลายเท่า เป็นเอกก็ยังยืนยันเหมือนเดิมว่าเรายังคงอยู่ในสังคมแห่งการเสือก หรืออาจเสือกกันมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ ด้วยพื้นที่ที่ขยับไปออนไลน์ ทำให้เราได้สื่อสารพูดคุยหรืออยู่อาศัยร่วมกันใกล้ชิดขึ้นกว่าเดิม
“ยุคนี้ยิ่งหนักเลยครับ อย่างเฟซบุ๊คนอกจากเรื่องทำการค้าขายแล้วมันเหมาะกับนิสัยเสือกของคนมาก คืออยากจะไปส่องดูว่าใครเขาทำอะไร
“คือก่อนหน้าที่จะมีโซเชียลมีเดียนี้ ความเสือกอยู่แค่ในระดับเม้าท์กันในวงเพื่อน คุณไปรู้เรื่องอะไรของเพื่อนอีกคนมา แล้วบังเอิญมานั่งกินเหล้า คุณก็แค่มาเม้าท์ให้ผมฟัง แต่ผมไม่มีวันรู้เลยว่า ใหม่—ดาวิกา ไปกินอะไรมาเมื่อวานนี้ เพราะเขาอยู่คนละระดับกับผม เขาเป็นซูเปอร์สตาร์แล้วผมเป็นคนธรรมดา
“ยุคนี้ผมเสือกชีวิตดาราได้เลยครับ คนมีชื่อเสียง นักร้องนักแสดงก็ชอบด้วยที่คนอื่นมาเสือก เขาเรียกกันว่ายอดไลค์ ผมเรียกว่ายอดเสือก ถ้ายอดเสือกตก ผมหวั่นไหวทันทีเลย คนมาเสือกกับชีวิตน้อยจัง มีคนไปเสือกกับชีวิตผู้กำกับอีกคนมากกว่าหรือเปล่า
“ซีรีส์มันจะต่างจากหนังตรงที่ว่า ประเด็นที่สนใจมันจะวนเวียนอยู่เรื่องพวกนี้แหละ ชอบนั่งแอบฟังคนคุยกัน คือเป็นคนเสือกแบบนึง ไม่ต่างไปจากเดิมหรอกครับ แต่ด้วยอายุมากขึ้น ประสบการณ์มากขึ้น มันอาจจะออกมากลมกล่อมกว่าตอนเป็นภาพยนตร์
“ตอนเป็นภาพยนตร์มันจะเป็นการ์ตูนมากเลย ทุกอย่างคอมิกมาก ทั้งเอเลเมนต์ของภาพ คอมโพซิชัน สีสันทุกอย่าง โจ๊กแต่ละโจ๊ก”
ทำหนังด้วยภาพวาด
อาวุธลับในการทำหนังของเป็นเอกคือการวาดภาพ เป็นลายเส้นยึกยือสีทึม
“มันเป็นเรื่องของการพยายามรายล้อมตัวเองด้วยโลกของเรื่องที่เรากำลังจะต้องออกไปเผชิญกับมัน” พี่ต้อมเล่า ในตอนหนึ่งของบทสนทนาสั้น ๆ กับเรา
“ของผมง่าย ๆ เลย ใช้วิธีวาดรูปเยอะมากที่มันเกี่ยวกับหนัง คล้าย ๆ สตอรีบอร์ด แต่ไม่ได้วาดเพื่อเอาไปถ่ายตามนะ ผมวาดเรื่อยเปื่อย เห็นภาพแบบไหนก็ลองวาดดู เพื่อให้มันดิ่งเข้าไป ให้ตัวเองอยู่ในโลกนั้น
“ช่วงเวลาก่อนออกไปถ่ายหนัง มันเหมือนเราต้องสะกดจิตตัวเองไปเรื่อย ๆ ให้มันดิ่งเข้าไป ดิ่งเข้าไป ในโลกนั้นเข้าไปเรื่อย ๆ แล้วพอโมเมนต์ที่ออกรบ ร่างกาย จิตใจทุกอย่างมันจะพร้อมรบ
“ผมทำทุกวิธีเลย วาดรูป ถ่ายรูป อัดรูปมาแปะไว้ รูปนักแสดงนี่แปะเต็มบ้านเลย ในห้องนอนเห็นหน้านักแสดงไม่รู้กี่คน คือนอนแล้วหลอนอะ
“อีกอย่างคือทุก ๆ วันพอเราได้โลเคชั่นถ่ายมากขึ้น ผมก็ปรินต์เป็นรูปใหญ่ ๆ ออกมาหมด เดี๋ยวนี้ทุกอย่างมันก็สามารถเก็บในคอม แต่อย่างผมนี่ไม่ได้เลย รูปโลเคชั่นมี 80 ที่ ผมก็ปรินต์ออกมาหมด 80 ที่
“มันเหมือนเราต้องพยายามดิ่งเข้าไปในหัวเราเอง แล้วต้องรักษาความรู้สึกนั้นให้ได้ เพราะจากวันที่เรามีไอเดีย เขียนบท กว่าจะออกไปถ่ายทำ ตัดต่อ เสร็จงานทั้งหมด มันเป็นเวลายาวนานเป็นปี ๆ แล้วถ้าเราไม่สามารถรักษาความหมกมุ่นในหัวนั้นหรือภาพเหล่านั้นเอาไว้ได้ หนังมันจะหลุดมือเราไปทีละนิด ๆ”
สืบรอยความเป็นมนุษย์จากหนัง
สำหรับนักประวัติศาสตร์ ภาพยนตร์เรื่องตลก 69 อาจเป็นบทบันทึกอารมณ์ความรู้สึกในห้วงเวลาเฉพาะหนึ่งหลังวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง ที่ทำให้หลายคนตกงานและเกลียดเงิน แต่จากบทสนทนากับเป็นเอก เราคิดว่า เรื่องตลก 69 อาจกำลังบอกอะไรเกี่ยวกับมนุษย์
“ไม่รู้นะครับ ผมแอบมีความหวังว่าในอีก 10 ปีข้างหน้าประเทศเราก็อาจจะเปลี่ยนแล้ว ผมแอบมีหวังว่ามันจะไปในทางที่ดีขึ้น แต่ผมว่าความโกลาหลของเศรษฐกิจโลก สงคราม โรคระบาดทั้งหลายพวกนี้ ผมว่ามันไม่เปลี่ยน เดี๋ยว 5 - 10 ปีมันก็มาอีก มันเป็นสัญญาณของธรรมชาติที่พยายามจะเตือนมนุษย์ วิกฤตต้มยำกุ้งมันก็เป็นการที่ธรรมชาติมันมาบอกว่ามนุษย์เรามันฝืนอยู่ อีก 20 ปีข้างหน้าไม่รู้จะมีเรื่องอะไรให้เราทำอีก แต่พอถึงตรงนั้นธรรมชาติอาจจะทวงหนักจนเราไม่เป็นอันทำหนังเลยก็ได้นะ”
รับชม เรื่องตลก 69 (6ixtynin9) ที่ Netflix