“Darling, I got my trust issues. Warning, you stay away. If we meet at the rendezvous. Take me away, sunray”
ไม่ว่าคุณจะเป็นแฟนเพลงอินดี้ตัวจริงที่ติดตามแวดวงดนตรีนอกกระแสอย่างใกล้ชิด หรือเป็นแค่คนที่ฟังเพลงแค่พอสร้างความบันเทิงเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับชีวิต เราเชื่ออย่างยิ่งว่า เกือบทุกคนน่าจะเคยได้ยินเพลงฮิตระดับอินเตอร์อย่าง ‘Lover Boy’ บทเพลงของหนุ่มน้อยนักรัก ที่มีเมโลดี้กวน ๆ ชวนติดหูกันมาบ้าง
หลังจากเฝ้าสะสมประสบการณ์การทำงานเพลงมาอย่างยาวนาน แถมยังขยันผลิตเพลงเพราะ ๆ (และดัง ๆ) ออกมาอีกมากมาย นักร้องหนุ่มชาวไทย เจ้าของบทเพลงฮิตอย่าง ภูมิ วิภูริศ (Phum Viphurit) ก็สามารถสร้างชื่อเสียงจนกลายเป็นหนึ่งในศิลปินอินดี้ที่น่าจับตามองมากที่สุดในเอเชีย ได้ไปร่วมงานกับหลากหลายศิลปิน จนมีฐานแฟนเพลงจากหลากหลายพื้นที่ทั่วโลก
แต่แทนที่นักดนตรีดาวรุ่งอย่างเขาจะปล่อยผลงานเพลงในรูปแบบเดิมที่แฟน ๆ คุ้นเคย (ในระดับที่คนนอกอย่างเราคิดว่า แทบจะการันตีความสำเร็จ 100%) เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา เขากลับกลับมาพร้อมกับอีพี ‘Paul Vibhavadi Vol. 1’ พร้อมการเปิดตัวแนวเพลงรสชาติใหม่และอัลเตอร์อีโก ‘พอล วิภาวดี’ ตัวตนใหม่ที่เขาอธิบายไว้ว่าเป็น ‘สลอธสองภาษาที่เคลื่อนที่เร็วที่สุดในโลก!’
แถมในมิวสิกวิดีโอ ‘The Other Side’ ซิงเกิลเปิดตัวของอีพี เรายังได้เห็นเขาแต่งตัวเป็นสลอธเจ้าลัทธิประหลาดแห่งป่าหิมพานต์ ที่ดูยังไง๊ยังไงก็ดูจะไปคนละทิศละทางจากภาพลักษณ์หนุ่มน้อยน่ารักที่เราคุ้นเคยจากยุค Lover Boy อย่างสิ้นเชิง


📍 เป็นภูมิ วิภูริศอยู่ดี ๆ ทำไมถึงอยากลองมารับบทเป็นพอล วิภาวดี สลอธแห่งป่าหิมพานต์?
“จริงๆ ภูมิเป็นคนที่สนใจในคอนเซ็ปต์อัลเตอร์อีโกมาสักพักแล้ว อย่างตอนนั้น Tyler, The Creator ทำอัลบั้ม IGOR แล้วเขาใส่วิก ภูมิก็รู้สึกว่า มันเป็นคอนเซ็ปต์ที่ดูน่าสำรวจดี มันเหมือนศิลปินยังได้เป็นตัวเอง แต่ว่าการที่เราเอาหน้ากาก หรือว่าเอาอัลเตอร์อีโกมาสวม มันทำให้เราสามารถแหวกตัวเองออกมา จะมากหรือน้อยก็ได้ แล้วมันเหมือนได้ทำสิ่งที่แปลกใหม่ทั้ง ๆ ที่ยังทํางานภายใต้ชื่อของตัวเอง ไม่ได้ไปทําวงใหม่ เลยรู้สึกว่า เฮ้ย ภูมิอยากทําอย่างนี้มานานแล้ว เพราะเรารู้ตัวว่ารสนิยมการฟังดนตรีเรามันค่อนข้างกว้าง ทุกวันนี้ก็ฟังดนตรีทดลองเยอะ ฟังเฮาส์ ฟังมิกซ์ใน Soundcloud ที่มันแบบยาว 40 นาที เราสนใจในการที่แบบว่า เออเนาะ ทําไมเราไม่เอาแรงบันดาลใจจากดนตรีอิเล็กทรอนิกส์มาใส่ในเพลงของเราบ้าง ทั้ง ๆ ที่มันก็เป็นสิ่งที่เราฟัง
“ภูมิก็เลยแพลนทําโปรเจกต์พอล วิภาวดีมาได้ปีนึงพอดี ตอนนั้นคิดว่า ถ้าภูมิจะใช้คาแรกเตอร์นี้มาทำอะไรพวกนี้ ภูมิไม่อยากทําให้มันเป็นแค่แบบเพลงเท่ ๆ ที่ไม่ได้เชื่อมโยงกัน อยากเล่าให้มันเป็นเหมือนหนังสั้นที่มีการเดินทาง ทั้งวิชวลและดนตรีที่ต้องฟังเป็นชุด”

📍 ภูมิเติบโตในต่างประเทศ ผลงานที่ผ่านมาก็ถูกบอกเล่าผ่านภาษาอังกฤษหมด ทำไมรอบนี้ถึงเริ่มใช้คำภาษาไทยในเพลง?
“เพลง ‘The Other Side’ เป็นครั้งแรกที่ภูมิใช้คําภาษาไทยเลย จริง ๆ ก็เคยใช้ในอัลบั้ม ‘The Greng Jai Piece’ มาก่อนแล้ว แต่ว่ามันก็เป็นในบริบทภาษาอังกฤษ
“ภูมิรู้สึกว่า ยิ่งเราสำรวจเทสต์เรามากขึ้น หรือว่าแต่งเพลงมากขึ้น เราก็ยิ่งเป็นคนที่สะท้อนมองตัวเองเยอะมากเวลาเขียนเพลง แล้วยิ่งการที่เราทํางานมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็ยิ่งรู้สึกว่า สิ่งที่เราไม่ค่อยได้เข้าไปแตะเลยตั้งแต่อัลบั้มที่แล้วคือการที่เราเป็นคนไทยที่ไม่ได้รู้สึกเป็นคนไทย หรือการที่เรามีความเห็นต่างจากบรรทัดฐานหรือธรรมเนียมปฏิบัติในวัฒนธรรม (cultural norm) ต่าง ๆ แล้วมันจะมีคำถามเกี่ยวกับตัวตน แบบ… เออเนาะ เราโตที่ไหน แล้วตอนนี้เราใช้ชีวิตอยู่ที่ไหน วงจรชีวิตต่าง ๆ ของเราเป็นยังไง เราก็เลยเลือกดึงความเป็นไทยออกมา คือมันก็ยังมีความเป็นไทยแหละ แต่ว่ามันให้ความรู้สึกเหมือนดูละครเวทีมากกว่า ฟังแล้วแบบว่า เออเนาะ เราก็รู้สึกของเราแบบนี้แหละ”


📍 แล้วทำไมถึงต้องเป็นสลอธด้วย?
“จริง ๆ ภูมิใจใช้คอนเซ็ปต์ภาพของสลอธเป็นตัวเล่าเรื่องตั้งแต่อัลบั้มที่แล้ว พอมาอัลบั้มนี้ เราก็อยากขยายมันมาจากภาพสองมิติตอนนั้น ก็เลยลองมาเล่นเป็นสลอธเองซะเลย เพราะมันน่าสนุกดี (หัวเราะ)
“ส่วนตัวแล้ว ภูมิสนใจในความเฉื่อย รู้สึกว่า มันเป็นสัตว์ที่รอดมาได้ตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์นู่นเลย เพราะว่ามันไม่ทําอะไร ภูมิว่า มันก็น่าจะเป็นความฝันของพวกเราชาวมิลเลนเนียล หรืออาจจะทุกคนเลยก็ว่าได้ (หัวเราะ) แค่เอาตัวรอด และใช้ชีวิตให้ก้าวหน้าในสังคมก็พอ”


📍 พอภูมิกลายมาเป็นสลอธที่ใช้อารมณ์ขันเป็นตัวขับเคลื่อนแบบนี้แล้ว มันกระทบภาพหนุ่มน่ารักที่คนส่วนใหญ่มองเราบ้างรึเปล่า?
“ไม่เลย ความสวีทบอยเป็นร่างปลอม (หัวเราะ) ซึ่งภูมิอยู่กับสิ่งนั้นมานาน มันเป็นสิ่งที่ทําให้เราสงสัยเหมือนกันว่า ทำไมคนอื่น ๆ ถึงมองเราแบบนั้น เพราะเอาจริง ๆ นะ ภูมิไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย มันเหมือนว่า สิ่งที่คนได้เห็นเราใน Lover Boy มันกลายเป็นสิ่งที่คนคิดว่าเป็นตัวเรามาโดยตลอด ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไรเลยนะ แต่แค่มันรู้สึกว่า เรากำลังโดนแปะป้ายไปแล้วเหมือนกัน
“ซึ่งบางครั้งเราก็รู้สึกอึดอัด ทั้ง ๆ ที่มันก็เป็นอาชีพที่ดี แล้วก็สนับสนุนผลักดันภูมิมาตลอด แต่แค่ลึกๆ แล้ว ในฐานะคนที่มุ่งมั่นพยายามจะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ มาโดยตลอด คือไม่ใช่คนที่จะประสบความสำเร็จด้วยนะ แต่เป็นคนสร้างสรรค์เนี่ย มันทำให้เราตัน มันเหมือนเราถูกบีบอยู่ในกล่องเรื่อย ๆ”


📍 ทำเพลงมาหลายปีแล้ว ภูมิมองการเติบโตของตัวเองเป็นยังไงบ้าง?
“ในแง่การทำเพลงแล้ว สมัยก่อนภูมิมีความเป็น Imposter Syndrome (โรคคิดว่าตัวเองด้อยความสามารถ) พอเรามาเป็นศิลปินอินดี้ในค่าย Rats Records ใหม่ ๆ เราได้แค่เล่นกีตาร์กับคิดเมโลดี้ แล้วคือเราลิมิตตัวเองแค่นั้น เราไม่กล้าไปแตะชิ้นอื่นเลย เราไม่รู้ว่า เฮ้ย จริง ๆ แล้ว เบสต้องเล่นแบบนี้รึเปล่า หรือกีตาร์ไลน์แบบนี้ คนฟังแล้วเขาจะอินไหม แต่เรารู้ว่า เราชอบนะ แล้วคือเราอยากลองเปลี่ยน แต่ว่าตอนนั้นเรายังไม่มั่นใจพอ เพราะเรารู้สึกว่า ความสามารถของเรามันยังไปไม่ถึงขั้นเดียวกับความมุ่งมั่นที่เรามองตัวเองไว้
“แต่ทุกวันนี้รู้สึกว่า ด้วยเวลาและการทํางานที่มากขึ้น รวมถึงการที่เราได้พัฒนารสนิยมของตัวเองมากขึ้น ตอนนี้ความสามารถของภูมิมันก็เริ่มแมทช์กับความทะเยอทะยานหรือเป้าหมายของตัวเองได้แล้ว ซึ่งโอเค ถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่ได้เท่ากันในทุกแง่ซะทีเดียว แต่ว่าภูมิหาวิธีที่จะมันทําให้มันแมทช์ภาพในหัวที่เราต้องการได้แล้ว ซึ่งภูมิว่านั่นแหละคือการเติบโตในแง่การทำเพลงของภูมินะ”


📍 แล้วในแง่ความรู้สึกล่ะ?
“ในแง่จิตใจ ภูมิรู้สึกว่า เราไม่ใช่เด็กหนุ่มวัยรุ่นอีกต่อไปแล้ว (หัวเราะ) แบบเราไม่ได้เป็นคนที่แบบว่า อกหักแล้วต้องแบบฟูมฟาย เพราะเราเคยเป็นแบบนั้นในช่วงแรก ๆ ที่เริ่มเขียนเพลง เป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยอะไรที่เราไม่เข้าใจ สิ่งที่ออกมามันเป็นอารมณ์ที่ไม่ได้ถูกกลั่นกรอง มันมีแต่คำว่า ‘ฉันถูก ฉันผิด’
“ซึ่งอย่างทุกวันนี้ สังเกตได้เลย โดยเฉพาะอัลบั้มที่แล้ว ภูมิมองว่า ตัวเองมีประสบการณ์ชีวิตรอบด้านขึ้น ภูมิรู้สึกว่า เรามองทุกปัญหาในชีวิต ทุกเรื่องที่เกิดขึ้น เราจะมองมันจากมุมมองที่มีสองด้านเสมอ มันไม่ใช่สีขาวหรือสีดำ แต่ภูมิกลายเป็นคนที่อยู่ในพื้นที่สีเทา (grey area) เพราะพื้นที่ตรงนี้มันเป็นพื้นที่ที่น่าสนใจ อารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์เรามันเป็นสิ่งที่ซับซ้อนนะ และภูมิก็ชอบที่จะได้สำรวจมัน ด้วยความที่เราเป็นผู้ใหญ่ขึ้นด้วย มันทําให้เราจัดการกับวิธีคิดพวกนี้ในเพลงของตัวเองได้ดีขึ้นด้วยเหมือนกัน”

