Unnamedminor นักมัดที่เชื่อว่าชิบาริ ‘ไม่ใช่’ ศิลปะ แต่เป็นเครื่องมือรัดสัมผัสกาย

Post on 7 June

ความใกล้ชิดสร้างความสัมพันธ์ขึ้นมาได้ แล้วก็กระชับให้แนบแน่นยิงกว่าเดิมได้เหมือนกัน ไม่ว่าจะใกล้ชิดกันทางอารมณ์หรือกับร่างกายกันและกัน

ใครที่อยากเติมไฟ หรือใครอยากพบสัมผัสใหม่ ๆ ที่ผลักขีดความเป็นไปได้ของร่างกายมนุษย์ GroundControl อยากแนะนำให้รู้จักการมัดแบบชิบาริ ศาสตร์ที่ไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือเรื่องเพศ แต่มีทั้งความรักความเข้าใจ โดยมี Unnamedminor (ไมเนอร์ - เพชรดา ปาจรีย์) นักมัดสาย Sensual ที่ยืนยันว่า “ชิบาริไม่ใช่ศิลปะ”

ถ้าไม่เคยได้ยินเรื่องชิบาริเลย ก็ลองมาทำความเข้าใจศาสตร์เก่าแก่จากญี่ปุ่นนี้กัน ถ้าเคยคิดว่าชิบาริคือการทรมาน ก็ลองมารู้จักด้านที่เน้นอารมณ์สัมผัส รวมทั้งการเล่น “สามคน” เพื่อรวมกันใช้ชิบาริสร้างงานศิลปะขึ้นมา ในบทสัมภาษณ์นี้

มนุษย์ดูสวยที่สุดตอนนั้นเลย

“เราสนใจชิบาริมาตั้งแต่อายุประมาณ 20 ถอยไป 17 ปี ตอนนั้นเห็นในหนังอันเดอร์กราวด์ เรื่องแรกที่ดูคือ Flower and Snake (1974, dir. Masaru Konuma) แล้วก็สนใจเพราะว่ามันแปลกดี โดยส่วนตัวเป็น Hand Fetish ชอบเกี่ยวกับพวกร่างกายมนุษย์

"ตอนนั้นมันไม่ได้เห็นตามนิตยสารอะไรได้ง่าย ๆ มันก็เลยทึ่งมาก ในทุกฉากของความรุนแรงอันนี้คืออันเดียวที่รู้สึกว่ามันสวย มันดูรุนแรงที่สุดเท่าที่เคยเห็น แต่ว่าก็สวยฉิบหายเลย มนุษย์ดูสวยที่สุดตอนนั้นเลย”

“สมัยนั้นคือต้องเป็นคนที่อยู่ในวงการ BDSM เท่านั้น แล้วอาจารย์จะเป็นผู้เลือกนักเรียนเข้าไปเรียน ไม่ใช่อยู่ดี ๆ วอล์กอินเข้าไปได้ ต้องพูดก่อนว่าชิบาริคือศาสตร์ชั้นสูงของญี่ปุ่น คนที่สามารถดูได้ต้องเงินหนาเท่านั้น เพราะมันเป็นการละเล่นที่ผิดแปลก ถ้าเงินไม่หนาพอก็ดูไม่ได้”

การมัด เพื่อให้เหยื่อรู้สึกโดนปลอบประโลม

“งานมัดญี่ปุ่นสำหรับเราจะเป็นสองแบบ คือแนว Caressing Rope หรือ ‘ไอบุนาวะ’ (Aibunawa / 愛撫縄) และ Torturing Rope หรือ ‘เซเมะนาวะ’ (Semenawa / 責め縄) ซึ่งเซเมะแปลว่าเจ็บ คือการมัดเพื่อทรมาน ของเราจะเป็นเซนชวล คือการดึงสเปซมาอยู่ด้วยกัน ดึงเขาให้มาหาเรา อาจารย์เราอธิบายไว้ง่าย ๆ คือถ้าเป็นเซเมะนาวะคือใส่ปลอกคอหมา ถ้าจะให้หมามาต้องกระตุกบังคับ แต่ Sensual Tying คือใส่ปลอกคอหมาแล้วถือไว้เฉย ๆ ให้เขาเดินมาหาเอง คือบังคับแต่อีกรูปแบบหนึ่ง

"ถ้าเห็นงานเราก็จะเห็นเรากอดเยอะมากข้างหลัง ทำให้เหยื่อรู้สึกว่าไม่เป็นไร สามารถหลุดออกจากตรงนี้ได้ แต่หลุดไปไม่ได้ อารมณ์นั้นคือต้องอยู่ตรงนี้”

เรียนมัดก่อน แล้วมาจัดการความตื่นเต้นให้ชีวิตคู่กัน

“งานมัดแบ่งออกเป็นสามแบบ คือ Play - การเล่น, Shooting - ถ่ายแบบ อีกอัน Perform - การแสดง แยกออกจากกัน”

“Play คือเรามานัดกันแล้วเรามาเล่นกัน ก็จะมีโรลเพลย์ว่าใครเป็น Dom (คนทำ) เป็น Sub (คนถูกกระทำ) ไม่เหมือนเล่นกับเพื่อนนะ เหมือนอารมณ์ในเรื่องของอารมณ์เรื่องคอนเซนต์ เรื่องกฎต้องมี ตบได้ไหม มัดได้ไหม ตีได้ไหม มีเรื่องอาฟเตอร์เคส เพราะเราไม่ได้ทำแค่ร่างกาย

โดนมัดครั้งแรกมีเซ็กส์ด้วย ชอบมาก พูดได้แค่นี้ว่าชอบมาก เรารู้สึกว่าอยู่ตรงนี้แล้วถ้าอยากรู้ก็ต้องรู้ปะวะ มันก็เป็นปกติอยู่แล้ว ร่างกายของเรา คอนเซนต์ของเรา ไม่ได้แปลว่าขืนใจสักหน่อย

“จะเล่นอะไรพวกนี้มันต้องมีการเรียนก่อน ไม่ใช่จะทดลองได้ อันตราย ที่สอนก็มีคู่รักมาเรียนเยอะเลย อายุ 60 กว่าก็มีมา เหมือนอยู่ด้วยกันแล้วมันไม่สามารถมีอะไรทำให้ตื่นเต้นได้แล้ว

“งานมัดคือความเข้าใจ ที่ออกมาทำเพราะอยากให้ความรู้คนมากกว่าจะมองว่าเป็นศิลปิน แค่อยากให้รู้ว่างานมัดมันไม่ใช่แค่เซ็กส์ มันมีทั้งความรักและความเข้าใจอยู่ในนั้นด้วย”

เพิ่มผู้เล่นเป็นสาม เพื่อทำให้ชิบาริเป็นงานศิลปะ

“ชิบาริไม่ใช่งานศิลปะ อยากให้เข้าใจอีกอย่างหนึ่ง ถึงแม้เราจะดังด้วยการทำงานศิลปะก็จริง แต่งานมัดไม่ใช่ศิลปะ งานมัดเป็นเครื่องมือหรือ 'Tool' ของศาสตร์เฉย ๆ แต่เรานำโพรเซสตรงนี้มาสร้างโพรเซส ในอีกรูปแบบหนึ่งจนเป็นงานศิลปะ ตัวมันเองไม่ใช่งานศิลปะ เป็นศาสตร์ที่ต้องเรียน

เหมือนคุณไปเรียนทอผ้ารู้จักวิธีการทอผ้าว่าด้ายคืออะไร การทอผ้าไม่ใช่ศิลปะแต่การทำยังไงให้ผ้าออกมาสวยนั่นคือโพรเซสที่ออกมาแล้วกลายเป็นงานศิลปะ

“โพรเซสที่จะใช้ในการทำให้เป็นงานศิลปะคือการทำงานร่วมกันสามคน สามกลุ่ม คือคนมัด คนถูกมัด และตากล้อง มาทำงานร่วมกัน

“เราก็เล่นกับน้อง (คนถูกมัด) แล้วเขาก็มาสแนป ส่วนเราเราจะรู้ว่านางแบบเขายืดหยุ่นขนาดไหน ชอบอะไรไม่ชอบอะไร จะลองมัดท่าพื้นฐานก่อน แล้วค่อย ๆ เติมเข้าไปตามฟิกเกอร์ร่างกายเขา การมัดมันเป็นการผลักดันขีดจำกัดอยู่แล้ว”

“ที่ดีคือเจอคนที่เขาไปตามมือเรา เหมือนมีเซ็กส์กันแล้วเข้ากัน เขาไปตามมือเรา เขาเข้าใจว่าจับตรงนี้แล้วต้องการอะไร โดยไม่ต้องพูด แทบไม่คุยกันเลยตลอดทางของการมัด แล้วเขาโอนอ่อนไปตามที่เราไป เราโอนอ่อนตามที่เขาเป็น อันนี้คือสิ่งที่เราชอบที่สุดในงานมัด คือความเข้าใจโดยไม่ต้องพูด ง่ายดี

“เรากำลังจะมีนิทรรศการที่จะจัดกลางปีนี้เป็นครั้งที่สองกับตากล้องทั้งหมดห้าท่าน ซึ่งต่างกันหมดเลย ชื่อ I’mpulse มี พี่ทอม (ธีรภัทร โพธิสิทธิ์), พี่แมท (โศภิรัตน์ ม่วงคำ), พี่ตาล (ธนพล เเก้วพริ้ง), พิสุทธิ์ ศรีสุวรรณ และ ณัฐพล พัฒนนิธิบูรณ์ (FilmNetflick) ทุกคนก็มาพูดว่าอยากถ่ายแบบไหน คุยกับเราแล้วเราทำให้ เป็นการเปิดประสบการณ์ทางชิบาริใหม่ ๆ สู่วงกว้าง

"เราเคยทำงานของพี่ทอม โพธิสิทธิ์ เกี่ยวกับการอนุรักษ์ปลาวาฬ เป็นเหมือนปลาที่ติดอยู่ในอวนแล้วหายใจไม่ออก ก็ต้องแนะนำว่าเวลาเล่นเป็นยังไง ต้องทำท่าแบบไหน ก็มีการรีเสิร์ช

"เราได้เรฟที่แปลกที่สุดในชีวิตการทำงานคือเป็นรูปปลาวาฬห้อยหัวลงมา แล้วก็โดนแล่ เวลาเขาจับได้ เราก็คิดว่าจะมัดยังไงวะ คือจะมัดยังไงให้ห้อยลงมา แล้วให้ดูเป็นแฟชั่นที่สวย ก็จะมีเรื่องคอสตูมเข้ามาด้วย หลายอย่าง ไม่ใช่แค่เรื่องนางแบบ

"เซตนี้กับพี่ทอม Tom Potisit ได้นางแบบ Mimi Tao ที่เป็นทรานส์เจนเดอร์ที่ตัวสูงมาก เราต้องมัดสูงมากให้เขาห้อยหัวลงมา อันนั้นน่าจะทึ่งสุดแล้วที่เคยมัดมา”

งานแสดงชิบาริ? ก็แค่มาแสดงตัวตนให้ดู

“งานเพอร์ฟอร์มเหมือนการเล่น แค่ต้องเซ็ตเครื่องแต่งกาย หน้าผม ดนตรี และไฟ แต่เรารู้สึกว่าเราไม่ได้มาแสดงให้คนดู แค่มาเป็นตัวเราให้คนดู

"งานมัดจะมีสามจังหวะ คือมัดอยู่ที่พื้นก่อนลอยตัว ลอยตัว แล้วก็ดึงลง มีสเต็ปแค่นี้ ดูว่าเธอทำอะไร ถ้าลอยตัวคือพีคแล้ว แล้วก็ทิ้งสเปซไว้ช่วงหนึ่งให้อิน แล้วค่อย ๆ ปล่อยลงมา เหมือนการเล่นดนตรีที่เราต้องคิดว่าจะยังไงก็ได้ให้รู้สึกปลดปล่อยที่สุด หรือจะพีคที่สุดไปยาวเลยก็ได้"

"ถ้ามัดที่พื้นที่เหมือนปั้นงานศิลปะ เสร็จแล้วก็ทิ้งไว้ตรงนั้น นั่งดู”

ติดตาม Unnamedminor ได้ที่ Unnamedminor Shibari