เป็นที่รู้กันว่าหอศิลป์บ้านจิม ทอมป์สัน (The Jim Thompson Art Center : JTAC) คือพื้นที่ของสายแข็งสำหรับคอศิลปะร่วมสมัย ที่นั่นคือยานแม่ที่โชว์งานศิลปะแหลมคมทรงพลัง หาที่ไหนมาเทียบเคียงได้ยาก แต่ภายใต้นิทรรศการระดับโลกเหล่านั้น คือประวัติศาสตร์บาดแผลของโลก การกดขี่ของระบอบอาณานิคม เหนือวิธีคิดไปจนถึงวิถีชีวิตของผู้คนทั่วโลก ซึ่งอาจเป็นเหตุผลที่คนไทยอาจจะมองไปไม่ค่อยเข้าใจเจ้าสิ่งร่วมสมัยเหล่านี้นักตามประสาคนไม่เคยเป็นเมืองขึ้น — หรือจริง ๆ แล้วเรากำลังพลาดอะไรไปอยู่?
‘Urgency of Existence’ นิทรรศการที่จัดแสดงอยู่ตอนนี้ที่นั่น เป็นผลงานของศิลปินฝรั่งเศส-แอลจีเรีย ‘คาแดร์ อัทเทีย’ (Kader Attia) ด้วยการคัดสรรของพี่เจี๊ยบ — กฤติยา กาวีวงศ์ ผอ. หอศิลป์บ้านจิม ทอมป์สัน พี่ใหญ่ของศิลปะร่วมสมัยไทย ซึ่งนาน ๆ ทีเราจะเห็นชื่อของเขาในฐานะภัณฑารักษ์ นิทรรศการนี้ของพวกเขาต่อยอดมาจากการทำงานร่วมกันที่ไทยแลนด์เบียนนาเล่ เชียงราย 2566 (Thailand Biennale,Chiang Rai 2023) ซึ่งพี่เจี๊ยบพาเขาไปทำงานกับร่างทรงแห่งเชียงใหม่ ในฐานะเจ้าบ้าน ด้วยตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ และด้วยภูมิหลังของตนที่เติบโตมากับเมืองอายุ 700 ปี ที่นั่น ประวัติศาสตร์ไทยนอกตำรา แสดงตนขึ้นมา ที่มาของศิลปินจากดินแดนอาณานิคมตะวันตก ความเชื่อที่ไม่ศักดิ์สิทธิ์พอจะถูกถ่ายทอดพิธีกรรมขึ้นทีวีให้ดูทั้งประเทศ ถูกบอกเล่า โดยไม่ถูกแปะป้ายว่าล้าสมัย ไม่ไทย ไม่ศิวิไลซ์ — กระตุกคำถามชวนคิดว่า สังคมไทยไม่เคยมีระบอบครอบงำแบบอาณานิคม หรือเรามองข้ามความรุนแรงที่กีดกันประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และตัวตน ของคนจำนวนหนึ่งไปอยู่?

“เราไม่ค่อยไม่เชื่อในพลังของศิลปะกัน ไม่เชื่อว่ามันจะทำอะไรได้จริง ช่วยชีวิตพวกเราได้จริง” พี่เจี๊ยบพูดถึงชีวิตคนเมืองเชียงรายที่เปลี่ยนไปหลังงานไทยแลนด์เบียนนาเล่ แต่ก็ชวนให้คิดถึง ‘พลังของศิลปะ’ ที่แสดงตัวออกมาเลยแบบไม่หลบซ่อน ในผลงานที่ดูเหมือนจะซับซ้อนตามสังคม ตามสไตล์การคัดสรรจัดการทั้งหมดของเขาด้วย
ปี 2567 จบลงไปแล้ว พร้อมข่าวดีของเขา ทั้งรางวัลคิวเรเตอร์ระดับโลก Audrey Irmas Award for Curatorial Excellence ที่เพิ่งได้รับ และตำแหน่ง คณะกรรมการเทศกาลศิลปะ Documenta 16 หนึ่งในเทศกาลศิลปะที่ทรงพลังที่สุดของโลกที่เยอรมนี ซึ่งเขาเล่าว่าได้รับคัดเลือกให้เป็นก็เพราะผลงานที่ไทยแลนด์เบียนนาเล่นี่เอง รวมไปถึงนิทรรศการรวมผลงานของ อัลมากุล เมนลิบาเยวา (Almagul Menlibayeva) ซึ่งเขาไปคัดสรรในชื่อ ‘I Understand Everything’ เตรียมจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะคาซัคสถาน GroundControl เลยตั้งใจจะขอเวลาเขามานั่งคุยเล่นสรุปโลกศิลปะในสายตาเขาประจำปีนี้หน่อย แต่ดูเหมือนว่าอุณหภูมิโลกจะยังพาให้เราไปคุยเรื่องสังคมการเมืองในโลกศิลปะอยู่ดี ตั้งแต่เรื่องความสำเร็จของไทยแลนด์เบียนนาเล่เชียงราย ที่เขาเชื่อว่าจะยังเกิดขึ้นได้ในเมืองอื่น ๆ (ที่ควรเป็นเมืองที่มีความท้าทายสูงด้วย), เรื่องรสนิยมการคัดสรรผลงานของเขา ซึ่งหนักแน่นแต่ก็ประยุกต์เข้าได้กับทุกโปรเจกต์, ประสบการณ์คาดไม่ถึงในการทำงานภัณฑารักษ์, ความเชื่อเหนือธรรมชาติที่เขาเห็นว่ามีเหมือนกันทั่วโลก, และสิ่งที่ยังหายไปในศิลปะไทย ซึ่งอาจทำให้เรายังไม่เข้าร่วมวงสนทนาโลกเท่าที่ควร


ไทยแลนด์เบียนนาเล่เชียงรายจบลงด้วยความสำเร็จ ทั้งต่อคนในพื้นที่และคนในชุมชนศิลปะที่ชื่นชมมา คิดว่าเกิดขึ้นเพราะพี่เจี๊ยบเป็นคนเชียงรายเองด้วยไหม และเป้าหมายต่อไปหลังจากการกลับบ้านจัดงานระดับโลกคืออะไร
พี่มองว่าหน้าที่ของศิลปะมันควรทำงานได้ทุกที่ ไม่จำเป็นต้องอยู่ในที่ที่มีศิลปินเยอะถึงจะเฟื่องฟู ตัวอย่างเช่นงานที่เอจิโกะ สึมาริ (Echigo-Tsumari Art Triennale : ETAT) ซึ่งก็ไม่ได้มีศิลปินดังมาจากที่นั่น แต่เขาใช้ศิลปะเป็นเครื่องมือแก้ปัญหาสังคม เพราะตอนแรกในเมืองที่เขาทำมีปัญหาเด็ก ๆ ไม่อยู่บ้าน ผู้สูงอายุซึมเศร้า มีอัตราการฆ่าตัวตายสูงมากในเมือง แล้วภัณฑารักษ์จากที่นั่นก็เอางานศิลปะไปจัดแสดง ซึ่งเป้าหมายสูงสุดของเขาเลยคือการทำให้ทุกคนยิ้มได้ มีความสุข ก็เลยให้ศิลปินไปทำงานกับชาวบ้าน จนทำให้เด็ก ๆ กลับบ้านมากขึ้น อัตราการฆ่าตัวตายน้อยลง งานก็ได้รางวัลมากมาย พี่มองว่าการจัดเบียนนาเล่ — ถ้าเป็นพี่ พี่จะมองไปที่จังหวัดที่รายได้น้อยที่สุดในประเทศไทย จังหวัดที่มีปัญหาอาชญากรรมเยอะที่สุดในเมืองไทย หรือจังหวัดที่มีปัญหามากที่สุดในประเทศไทย ไม่ใช่จังหวัดที่มีสนามบิน มีโครงสร้างพื้นฐานพร้อมแล้วถึงไป เราอยากไปแสดงให้เห็นว่าพลังของศิลปะมันสามารถแก้ปัญหาได้จริง ๆ นะ มันไม่ใช่แค่สวยอย่างเดียว อย่าดูถูกพลังของศิลปะ
เราชอบไม่เชื่อในพลังของศิลปะกัน ไม่เชื่อว่ามันจะทำอะไรได้จริง ช่วยชีวิตพวกเราได้จริง
อีกโจทย์หนึ่งของงานนั้นคือการดึงประวัติศาสตร์ 700 ปีให้มาเชื่อมโยงกับปัจจุบันและอนาคตของเรา แล้วชาวบ้านทั่วไปเขาจะได้อะไร ตัวอย่างเช่นเมื่อวันก่อนเป็นวันครบรอบที่เราเปิดงาน ก็ยังมีคนทักมาบอกว่ารู้สึกเหมือนเมื่อวานเลย รู้สึกเหมือน TBC ยังจัดอยู่เลยด้วยซ้ำ เพราะมันอยู่ในความทรงจำ แล้วเขายังรู้สึกกับมันอยู่ นี่คือสิ่งที่ตั้งเป้าหมายอยากให้มันเป็นต่อ
แต่ละเมืองเขาก็มีโจทย์หรือปัญหาของเขา กลุ่มคิวเรเตอร์ที่จะไปจัดงานเองก็เป็นคนเข้าไปแก้ไข ซึ่งพี่ก็เชื่อว่าพวกเขาจะทำได้ แต่มันก็ท้าทายเพราะงานภัณฑารักษ์มันคือการเป็นตัวกลางในการพูดคุยกับคนในพื้นที่ด้วย ให้ทุกคนวิน-วิน อย่างเช่นจัดงานที่เชียงรายก็ต้องให้พื้นที่กับคนเชียงรายเองด้วย แล้วยังไม่รวมการคุยกับเจ้าหน้าที่ กับพันธมิตรและชุมชนกลุ่มต่าง ๆ ด้วย — ยิ่งกว่าทศกัณฐ์อีก — มันไม่ใช่แค่การคิดเนื้อหามาเฉย ๆ แต่มันคืองานการจัดการด้านหลังบ้านด้วย




ตัวตนของพี่เจี๊ยบอยู่ที่ JTAC หรือที่เชียงราย หรือที่ไหนมากกว่ากัน
งานที่ทำที่ JTAC มันคือรสนิยมเราผสมกับความเป็นจิม ทอมป์สัน คือถ้ามีผู้อำนวยการศิลป์คนอื่นเขาก็อาจจะทำแบบอื่น อาจจะเน้นไปที่ผ้ามากขึ้น หรืออาจจะไม่ได้เป็นการเมืองมาก แต่เราก็ทำงานภายใต้ประวัติศาสตร์ของจิมทอมป์สันด้วยเหมือนกัน อย่างเช่นปี 2568 ที่ JTAC จะครบรอบ 50 ปี ก็จะมีงานใหญ่ พูดเรื่องสงครามเย็นด้วย พูดเนื้อหาเกี่ยวกับภูมิภาคนี้ด้วย
เวลาทำงานเราก็อยากจะทำงานกับศิลปินทั้งคนที่เคยร่วมงานกันแล้วและคนที่ไม่เคยทำงานด้วยกันเลย ตัวอย่างเช่นที่เชียงรายเราก็อยากทำงานกับเขาทุกคน ก็เลยกทยอยมา อย่างคาแดร์ อัทเทียมา JTAC ตอนนี้ และอัลมากุล เมนลิบาเยวา (Almagul Menlibayeva) ศิลปินที่เราชวนมา TBC ก็ชวนเราไปเป็นภัณฑารักษ์ให้นิทรรศการที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะอัลมาตี้ (Almaty Museum of Arts) คาซัคสถาน เพราะเขารู้สึกถึงความเหมือนกันบางอย่างระหว่างบ้านเรากับบ้านเขาที่นั่น
กระบวนการทำงานภัณฑารักษ์ของพี่เจี๊ยบตอนนี้เป็นอย่างไร
ตัวอย่างงานที่กำลังทำกับอัลมากุลก็สนุกมาก เราได้ไปใช้เวลาด้วยกันประมาณอาทิตย์ละ 4-5 วัน แล้วก็พยายามทำความเข้าใจว่าทำไมเขาถึงทำงานแบบนี้ ก็ไปพบว่าที่เห็นเขาทำงานล้ำ ๆ แต่ก็เป็นผลผลิตจากสถาบันการศึกษาศิลปะไหน จากยุคสมัยแบบไหนในประเทศของเขา
ประมาณช่วงต้น 2000s เขาเริ่มทำงานเกี่ยวกับร่างทรง หรือลัทธิบูชาอำนาจของผู้วิเศษ (Shamanism) ของคนพื้นถิ่น ซึ่งก่อนหน้านี้ยุคที่คาซัคสถานอยู่ใต้การปกครองแบบโซเวียตเขาทำไม่ได้รับอนุญาตให้ทำ มันเป็นช่วงที่ชาวคาซัคตั้งคำถามว่าเขาคือใคร เพราะเขาก็ไม่ได้เป็นคนรัสเซียโซเวียต แต่เป็นคาซัค แต่จริง ๆ แล้วคาซัคคือใคร พวกปัญญาชนก็กลับไปยุคก่อนสมัยใหม่ ว่าดั้งเดิมเขาเป็นชาวโซโรอัสเตอร์ บูชาไฟ ก่อนที่จะมาเป็นอิสลาม ซึ่งก็เป็นอิสลามแบบซูฟีด้วย แล้วมาเจอมองโกล เจอรัสเซียเข้ามาในพื้นที่อีก แล้วเขาสับสนมาก แต่แทนที่จะกลับไปหาความเป็นอิสลาม เขากลับไปดูยุคก่อนที่มีลัทธิบูชาอำนาจของผู้วิเศษเลย ก่อนจะมีรัฐชาติ เหมือนกับที่เรามองประวัติศาสตร์เชียงรายมีมาตั้งแต่ก่อนศตวรรษที่ 14 ของเขาก็ก่อนศตวรรษที่ 14 เหมือนกัน
เสร็จแล้วเขาจะทำงานแบบแสดงสด มีการเปลือย แล้วก็ฆ่าแกะ เขาก็พาเราไปหาแม่หมอซูฟี ที่พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อเขา เหมือนกับเป็นสะดือของโลกคล้ายกับที่ซินเจียง เป็นเนินหนึ่ง กลางทุ่งหญ้าสเตปป์ แล้วตอนที่จะเข้าไปก็ต้องเอาผ้าคลุมหัว และปกติคนมุสลิมเขาจะล้างมือล้างเท้าก่อนเข้าไปพื้นที่แบบนี้อยู่แล้ว แต่อันนี้ต้องอาบน้ำก่อนด้วย ซึ่งศิลปินเขาก็ไปแก้ผ้าอาบน้ำที่มุมของเขา เขาก็เอาน้ำมาสาดหน้าเรา ก็ขำกัน แล้วต้องเดินไปไกลมาก เหมือนการแสวงบุญ แล้วพอเจอตรงสัญลักษณ์เขาก็นอนคว่ำหน้าลงสัมผัสพื้นดิน ซึ่งมันก็มีทั้งลมมาจากทุกทิศทาง แล้วเป็นภาพกว้างไกลพาโนรามา กับกลิ่นทุ่งหญ้าแบบโรสแมรี่พวกนี้หอมมาก แต่ยังไม่เสร็จ ต้องไปถอดเสื้ออาบน้ำที่ลำธารอีก ก็มีอยู่คนหนึ่งตอนนั้นไปด้วยกัน บอกรอพวกเรากลับก่อนแล้วเขาจะค่อยอาบน้ำ เขาบอกเขาอาย เอ๊าแล้วฉันไม่อายหรือไง (หัวเราะ)
นอกจากนั้นก็ตามไปดูหมดเลยว่าเขาเรียนที่ไหน เกิดอย่างไร เมืองที่อยู่เป็นอย่างไร ไปพิพิธภัณฑ์ ไปตลาด ไปโบสถ์ ซึ่งเขาก็เล่าว่าตอนเขาเด็ก ๆ ยุคโซเวียตที่นี่เขาไม่สอนศาสนา พอโตขึ้นมาเห็นภาพพระเยซู ก็ไม่รู้ว่าเขาคือใคร ทำไมโดนฆ่า แล้วทำไมทุกคนมีบาปกำเนิด
พี่พยายามเข้าไปใกล้ชิดเขา ไปเรียนรู้เขา แต่เราก็มีข้อจำกัดของเราเช่นถ้าจะให้ไปแก้ผ้าก็รู้สึกแปลก ๆ นิดหนึ่ง (หัวเราะ) แต่เราอยากรู้มากที่สุดเท่าที่จะรู้ได้ ภูมิหลังของพวกเขามันเกี่ยวข้องกับการทำงานทั้งหมด ทั้งในระดับประสาทสัมผัสหรือทางความคิด


นิทรรศการก่อน ๆ ที่ JTAC ก็มีที่เกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พลังอำนาจเหนือธรรมชาติ หรือผู้วิเศษเหมือนกัน ซึ่งบางงานดูเหมือนจะใกล้ตัวคนไทยกว่าด้วยซ้ำ ด้วยภูมิหลังศิลปินจากเอเชียเหมือนกัน การทำงานภัณฑารักษ์ในภูมิภาคที่อยู่ไกลออกไปเป็นความท้าทายที่ยากอย่างไรไหม
ไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น เพราะความเป็นผู้วิเศษหรือคนทรงเจ้าเข้าผีเป็นสิ่งที่มีเหมือนกันอยู่แล้วทั่วโลก อย่างศิลปินคาแดร์ อัทเทียตอนนี้เองเขาก็ไปทำงานกับร่างทรงที่เชียงใหม่ ในงาน TBC ซึ่งก็เป็นผลจากการทำงานระยะยาวตั้งแต่ปี 2018
งานที่พี่ทำจะใช้ประเด็นเฉพาะของแต่ละพื้นที่เป็นจุดเริ่มต้น แล้วไปเชื่อมโยงกับภูมิภาคและกับโลกด้วยตัวแนวความคิด พี่จำได้ครั้งหนึ่งคาแดร์ไปพูดที่เชียงแสน เขาบอกว่าเรื่องผู้วิเศษ (Shamanism) หรือสายมูเนี่ย มันเป็นเรื่องสากล มีอยู่หมดทุกที่ แต่ถูกกดทับด้วยมุมมองแบบสมัยใหม่ (Modernism) กับวิทยาศาสตร์แบบชาวยุโรปหรือโลกตะวันตก ซึ่งเชื่อว่าเขาดีกว่า ฉลาดกว่า
งานศิลปะที่ดีมันต้องมีบทสนทนากับสองประวัติศาสตร์เป็นอย่างน้อย: ประวัติศาสตร์ศิลปะ และประวัติศาสตร์สังคมที่เชื่อมโยงกับตัวคุณเองได้ด้วย
อย่างคาแดร์เขาเป็นชาวฝรั่งเศส-แอลจีเรียซึ่งเป็นผู้อพยพจากบ้านที่ถูกล่าอาณานิคม เขาก็มองว่าโลกทุกวันนี้มันเต็มไปด้วยบาดแผลจากการล่าอาณานิคม แล้วพอมีบาดแผลมันก็ต้องซ่อมแซม โดยเฉพาะช่วงนี้ที่โลกเต็มไปด้วยสงคราม และด้วยความที่เขาเป็นคนที่เน้นทั้งเรื่องปรัชญาและความรู้สึกมาก ๆ เขาก็ทำเรื่องขาเทียมสำหรับผู้พิการ ที่เป็นเรื่องการซ่อมแซมร่างกาย แบบยังเห็นบาดแผลอยู่
ชิ้นหนึ่งในงานนี้ที่พี่ชอบมากคือกระจกแตกที่เขาเอามาซ่อม แต่ซ่อมแบบให้เห็นร่องรอยที่มันแตกอยู่ เขามองว่าการซ่อมแซมสำหรับโลกตะวันตกคือการพยายามย้อนให้สิ่งนั้นกลับไปสู่สภาพเดิมแบบไม่เห็นรอยแผลให้มากที่สุด แต่การซ่อมแซมสำหรับพื้นที่อื่น ๆ โดยเฉพาะก่อนความคิดแบบตะวันตกจะมากับการล่าอาณานิคมมันคือการแสดงให้เห็นถึงร่องรอยจากการซ่อมแซม ไม่ว่าจะในวัฒนธรรมแอฟริกา ละตินอเมริกา หรือในเอเชีย อย่างเช่นในศิลปะญี่ปุ่น คาแดร์เขาก็เป็นศิลปินที่จับประเด็นที่เชื่อมโยงกับตัวเองได้ และทำงานเน้นเกี่ยวกับการซ่อมแซม แต่มันแตกโยงไปถึงโครงสร้างใหญ่ ๆ ได้ทั่วโลก เพราะวัฒนธรรมต่าง ๆ ทั่วโลกต่างก็มีบาดแผลกันทั้งนั้น มันเป็นประสบการณ์ของมนุษย์
มีวิธีสร้างพื้นที่ให้กับประวัติศาสตร์นอกกระแสแบบนี้ในพื้นที่ JTAC อย่างไร
ตัวคุณจิม ทอมป์สันเองก็มีประวัติศาสตร์ของเขา เพราะเขาเข้ามาเพราะสงครามโลกครั้งที่สองและจากไปเพราะสงครามเย็น มันเลยเป็นเหมือนความทรงจำหรือผีที่คอยหลอกหลอนที่หลอกหลอนเรา แต่ตัวบ้านไทยหรือบริษัทจิม ทอมป์สันเองก็ไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ แต่พี่มองว่ามันเป็นเรื่องจริงที่ยังไม่ค่อยมีใครรู้ บวกกับในช่วงสิบปีมานี้ทุกอย่างในบ้านเรามันเละเทะเพราะตัวระบบและความคิดต่าง ๆ มันติดเศษซากมาจากสงครามเย็น ก็เลยคิดว่าจำเป็นต้องกลับไปย้อนดูประวัติศาสตร์ ต้องขุดคุ้ยมันออกมา พวกประวัติศาสตร์ที่ไม่ได้เล่า
สิ่งหนึ่งที่ศิลปินควรทำคือการพูดเรื่องที่คนอื่นเขาไม่พูดกัน เล่าเรื่องที่มันเล่าไม่ได้หรือไม่ได้ถูกเล่า ซึ่งเราว่าที่นี่มันเหมาะกับการทำงานแบบเราด้วย เพราะที่อื่นที่เป็นแกลเลอรี่ห้องสี่เหลี่ยมสีขาวก็อาจจะไม่ได้มีประวัติศาสตร์กว่า 50 ปีแบบที่นี่
แล้วพอไปทำ TBC พี่ก็เลยพูดถึงประวัติศาสตร์ของเมืองด้วย เพราะอย่างน้อยมันมีมาเป็น 700 ปีแล้ว มีหลักฐาน มีจารึก แต่เป็นประวัติศาสตร์ที่ไม่ถูกรับรู้ และมันยังส่งผลถึงโลกร่วมสมัยด้วย ซึ่งคำว่าร่วมสมัยมันก็ไม่ใช่แค่ 250 ปีมานี้เท่านั้น แต่มันกว้างไกลไปกว่านั้นมาก
พี่ถือว่าตัวเองเป็นคนพเนจร (nomad) ไม่ได้ติดกับประเทศ และไม่มองอะไรผ่านเลนส์รัฐชาติเลย แต่มองผ่านวัฒนธรรม ผ่านความสัมพันธ์แบบอื่นมากกว่า เลยดูเหมือนจะอยู่ ‘ข้างนอก’ ตลอดเวลา
มาถึงตอนนี้ความรู้/ความคิดเกี่ยวกับการรื้อถอนอาณานิคมเป็นที่รับรู้แค่ไหนแล้วในสังคมไทย
โครงเรื่องหลักที่เข้าใจกันเรื่องเมืองไทยก็ยังเล่าว่าเราไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของใครอยู่ แต่ว่าที่จริงเราตกเป็นเมืองขึ้นของชนชั้นนำภายในประเทศของเราเอง (Auto-colonization) หรือที่ศาสตราจารไมเคิล เฮิร์ซเฟลด์ (Michael Herzfeld) เรียกว่าอาณานิคมอำพราง (Crypto-Colonialism) และที่อาจารย์ธงชัย วินิจจะกูลเรียกว่าภาวะกึ่งอาณานิคม ซึ่งการมองข้ามภาวะแบบนี้ทำให้เราเหมือนตกสำรวจไป ในขณะที่ทั่วโลกกำลังพูดเรื่องการรื้อถอนอาณานิคมกันอยู่ แล้วเราจะพัฒนากันได้อย่างไร และนี่อาจทำให้เราไม่ค่อยเห็นชื่อคนไทยในเทศกาลศิลปะใหญ่ ๆ ของโลกด้วย
ดังนั้นพี่ก็เลยเสนอเรื่องการรื้อถอนแนวคิดอาณานิคมอำพราง (de-cryptocolonization) ในวิทยานิพนธ์ ว่าเราต้องรื้อถอนอาณานิคมของตัวเอง แทนที่จะรื้อถอนคนอื่น เหมือนดึงเปลือกที่ครอบงำเราอยู่ออกมา เพื่อที่จะรับรู้และเข้าใจจริง ๆ ว่าเราคืออะไร และทำให้เรามีแนวคิดไปสนทนากับโลกร่วมสมัยได้ด้วย.
