คุยกับ พอล ไฟเฟอร์ ศิลปินระดับโลกผู้พลิก ‘เวทีมวยราชดำเนิน’ เป็นพื้นที่จัดแมตช์หยุดโลกระหว่างศิลปะกับคนดู

Post on 24 October 2025

ตั้งแต่อดีตกาลมา 'กีฬา' ไม่เคยเป็นเพียงการแข่งขัน แต่เป็นมหรสพ ความบันเทิง พิธีกรรม และกิจกรรมทางสังคมที่เก่าแก่ที่สุดอย่างหนึ่งของมนุษย์ ซึ่งยังคงส่งอิทธิพลต่อแง่มุมต่าง ๆ ในชีวิตยุคปัจจุบัน

และในวันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม และ 2 พฤศจิกายนนี้ เวทีมวยราชดำเนิน (Rajadamnern Stadium) สนามมวยไทยในตำนานที่ได้รับการปรับปรุงให้เป็นสเตเดียมที่ทันสมัย จะกลายเป็นพื้นที่สำหรับการแสดงสดครั้งสำคัญของศิลปิน พอล ไฟเฟอร์ (Paul Pfeiffer)

พอล ไฟเฟอร์ คือศิลปินชาวอเมริกันเชื้อสายฮาวาย เกิดในปี ค.ศ. 1966 ซึ่งมีชื่อเสียงระดับโลกจากผลงานประติมากรรม ภาพถ่าย และวิดีโอที่ใช้เทคนิคการตัดต่อ ดัดแปลง และการลบภาพด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล

เขาเป็นที่รู้จักจากการนำภาพและเสียงจากสื่อยอดนิยม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เหตุการณ์กีฬาสำคัญ (เช่น บาสเกตบอล มวย หรือฟุตบอล) มาทำการปรับแต่งอย่างละเอียด เพื่อวิเคราะห์และเปิดเผยให้เห็นถึงกลไกของการสร้าง ‘มหรสพ’ (Spectacle) วัฒนธรรมคนดัง และการปลุกปั้นอารมณ์ร่วมของมวลชน

ในการพลิกพื้นที่เวทีมวยราชดำเนินให้กลายเป็นศึกปะทะระหว่างศิลปะกับคนดูในครั้งนี้ ไฟเฟอร์ได้ร่วมมือกับทีมสื่อร่วมสมัยจากประเทศไทย เพื่อรังสรรค์ประสบการณ์อันตระการตาและเร้าใจ ที่จะเผยให้เห็นกลไกเบื้องหลังการสร้างอารมณ์ร่วมของผู้ชม รวมถึงพลังทางจิตวิญญาณที่ซ่อนอยู่ในกีฬา

ผลงานชิ้นนี้มีชื่อว่า Match of Legend เป็นการแสดงสดของมวยคู่เอกในตำนาน (ซึ่งอาจไม่มีอยู่จริง) เป็นการดัดแปลงภาพและเสียงจากโลกกีฬาตามสไตล์ที่เขาโด่งดัง เพื่อชี้ให้เห็นว่าความคลั่งไคล้, แสงสีเสียง, คาแรกเตอร์ และเรื่องราวอันน่าตื่นเต้นในสนามแข่งนั้นถูก 'สร้างขึ้น' อย่างไร บางครั้งเขาเลือกที่จะลบองค์ประกอบสำคัญออกไป เช่น ตัวนักกีฬา หรือบางครั้งก็ขยายบางสิ่งให้โดดเด่นขึ้น ตัวอย่างผลงานที่หลายคนคุ้นตาคือการจำลองสนามกีฬาที่มีที่นั่งนับล้านให้ดูสมจริง

"กีฬาคือสิ่งที่พาผู้คนมารวมตัวกัน" พอลกล่าว ซึ่งสะท้อนแนวคิดหลักของเทศกาลศิลปะภาพเคลื่อนไหวและการแสดงสด Ghost 2568: Wish We Were Here ที่การแสดงนี้เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมสำคัญ "แม้เวทีมวยราชดำเนินจะเป็นพื้นที่ที่ดูร่วมสมัยและทันสมัยมาก แต่ความรู้สึกทางอารมณ์ที่มันมีกลับเชื่อมโยงกับบางสิ่งที่ย้อนกลับไปได้ไกลมาก มันสะท้อนบทบาทของกีฬาในฐานะพิธีกรรมทางอารมณ์ และสำหรับผม นี่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นเรื่องของศาสนาหรือจิตวิญญาณเลยทีเดียว"

ในการแสดง Match of Legend เขาสร้างโชว์คู่ชกในตำนานให้เราได้ชม แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในศิลปะมวยไทยกลับหายไป นั่นคือ ตัวนักมวยเอง เราจะได้เห็นการต่อสู้ที่เวทีอันยิ่งใหญ่เป็นตัวขับเคลื่อนเรื่องราว ถ่ายทอดความตื่นเต้นเร้าใจของแมทช์ โดยที่ไม่มีร่างของนักชกปรากฏอยู่บนเวที

พอลอธิบายว่า "มันเหมือนกิจกรรมแห่งวิญญาณ เสมือนพิธีเรียกผี (Séance) ที่ทำให้ 'อดีต' ปรากฏขึ้นสด ๆ ผ่านองค์ประกอบของการแสดง" เขาเชิญชวนให้ผู้ชมหันมามองคนเบื้องหลังที่ควบคุมแสง, เสียง, ภาพ และทุกองค์ประกอบที่ร่วมกันสร้างประสบการณ์ทางอารมณ์ในสนาม

นี่คือการวิเคราะห์และตีแผ่กระบวนการสื่อสาร (mediation) ที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในโลกกีฬาเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงวิธีที่เรารับรู้และตอบสนองต่อภาพในบริบทอื่น ๆ ด้วย เช่น ภาพทางการเมือง หรือภาพในชีวิตประจำวัน ที่ล้วนกระตุ้นความรู้สึกของเราในรูปแบบต่าง ๆ

ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เราจะได้สำรวจไปพร้อมกับพอล ไฟเฟอร์ ในบทสัมภาษณ์นี้ และในการแสดงสดสองรอบที่เวทีมวยราชดำเนิน สถานที่ที่ศิลปะและกีฬาจะมาบรรจบกันภายใต้มนตร์สะกดของ Match of Legend

เทศกาล Ghost:2568 ให้ความสำคัญกับความเชื่อเรื่องภูติผีหรือวิญญาณนิยม (animism) เพื่อทำความเข้าใจศิลปะภาพเคลื่อนไหวและการแสดง แนวคิดเหล่านี้ รวมถึงธีม “Wish We Were Here” มีความเกี่ยวข้องกับงานแสดงสดที่เวทีมวยราชดำเนินอย่างไรบ้าง

Paul Pfeiffer: สำหรับผม นี่เป็นโอกาสพิเศษมากที่ได้ร่วมงานกับเทศกาลสำคัญในสถานที่ที่มีความหมายทางประวัติศาสตร์เช่นนี้ ผมรู้สึกว่านี่คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เลยก็ว่าได้
ผมหลงใหลในกีฬาและแฟนกีฬามาตลอด ไม่ว่าจะเป็นฟุตบอล บาสเกตบอล หรือมวยไทย ถึงแม้ผมจะยังถือว่าเป็นมือใหม่ในวงการมวยไทย แต่จริง ๆ แล้วเมื่อราวยี่สิบปีก่อน ผมเคยฝึกมวยไทยสมัครเล่นอยู่ที่ยิมแถวบ้านนะ (ยิ้ม)

กีฬาคือสิ่งที่ทำให้ผู้คนมารวมตัวกัน และนั่นเป็นมิติที่มีมาตั้งแต่โบราณ มันเป็นส่วนหนึ่งของพฤติกรรมมนุษย์ที่หยั่งรากลึกมาก ดังนั้น แม้ในบริบทร่วมสมัยอย่างเวทีมวยราชดำเนินที่ดูทันสมัยมาก ๆ อารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นก็ยังเชื่อมโยงกับบางสิ่งที่ย้อนกลับไปได้ไกลมาก กีฬามีหน้าที่ทั้งในเชิงอารมณ์และเชิงพิธีกรรม ซึ่งสำหรับผม มันแทบจะเป็นเรื่องของศาสนาหรือจิตวิญญาณเลยทีเดียว ถึงเราจะไม่มองมันในมุมนั้นโดยทั่วไป แต่ผมเชื่อว่ามี “มิติแห่งจิตวิญญาณ” (animus dimension) แฝงอยู่ทั้งในกีฬาและในสื่อภาพเคลื่อนไหว

สำหรับเวทีมวยราชดำเนิน นักแสดงหลักโดยทั่วไปคือนักมวย แต่ขณะเดียวกันยังมีทีมงานเบื้องหลังที่ทำหน้าที่ควบคุมภาพ แสง และเสียงอยู่ทุกวัน พวกเขาคือคนที่สร้างปรากฏการณ์ให้เกิดขึ้นในพื้นที่นี้ ผมรู้สึกหลงใหลในสิ่งที่พวกเขาทำ และอยากตั้งคำถามกับมันไปพร้อมกัน แม้กระนั้น ส่วนใหญ่แล้วผมก็หลงรักมันมากจริง ๆ

ในอีกมุมหนึ่ง ผมอยากให้ความสำคัญกับผู้คนที่ทำให้พื้นที่นี้มีชีวิตชีวา ผมรู้สึกผูกพันกับพวกเขาในฐานะศิลปินคนหนึ่ง พวกเขาเปิดโอกาสให้ผมเข้ามาทำลาย ‘สูตร’ การทำงานแบบเดิม ๆ และสร้างสิ่งใหม่ขึ้นจากระบบของพวกเขา แต่ก่อนอื่น ผมต้องเรียนรู้ระบบนั้นให้เข้าใจก่อน และในวันแสดง ผมจะทำงานร่วมกับทีมที่ควบคุมแสง เสียง และภาพเหล่านี้อย่างใกล้ชิด

เราเริ่มต้นจากการบันทึกเสียงจริงในเวทีมวยราชดำเนินเมื่อวันที่ 27 กันยายน ใช้เวลาราวสามชั่วโมงครึ่ง มีการชกทั้งหมดเจ็ดคู่ รวมถึงช่วงพักและการแสดงสร้างความบันเทิงต่าง ๆ เสียงเหล่านั้นจะกลายเป็นเหมือน ‘บทการแสด’” สำหรับโชว์ครั้งนี้

ผู้ชมจะได้ยินเสียงเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในสถานที่เดียวกันนี้จากอดีต แต่ครั้งนี้จะไม่มีนักมวย คุณจะได้ยินเพียงเสียงปฏิกิริยาของผู้ชมต่อการชกแต่ละคู่ ราวกับเหตุการณ์นั้นกำลังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา

บนจอจะมีทั้งภาพถ่ายทอดสดและภาพที่บันทึกไว้ล่วงหน้า โดยทีมงานของเวทีมวยราชดำเนินจะยังคงทำหน้าที่ของพวกเขาตามปกติ ภาพที่ปรากฏจะมีทั้งมุมมองจากแผงควบคุม ภาพระยะใกล้ของการทำงาน ภาพเคลื่อนไหวช้า (slow motion) และการสลับมุมกล้องต่าง ๆ

ทั้งหมดนี้เปรียบเสมือนกิจกรรมแห่งวิญญาณ หรือพิธีเรียกผี (Séance) ที่ทำให้อดีตปรากฏขึ้นอีกครั้งในแบบสด ๆ ผ่านองค์ประกอบของการแสดง

ทำไมเราจึงควรให้ความสนใจกับเบื้องหลังเหล่านั้นด้วย

Paul Pfeiffer: ผมคิดว่าโครงสร้างพื้นฐานทางอารมณ์และความรู้สึกแบบเดียวกันนี้เกิดขึ้นอยู่ทุกที่ ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงในสนามกีฬา แม้แต่ในบริบททางการเมืองหรือสังคมโดยรวม โครงสร้างแบบนี้ก็ยังคงทำงานอยู่ เพียงแต่มันมักจะมองเห็นได้ยาก

กีฬามีศักยภาพพิเศษในการทำให้ความสัมพันธ์เหล่านี้ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน มันแสดงออกในรูปแบบที่เข้มข้นจนเราสามารถสังเกตและตั้งคำถามต่อ ‘กระบวนการปั้นแต่ง’ (manipulation) ที่อยู่เบื้องหลังได้อย่างเป็นรูปธรรม เพราะกีฬาเป็นสิ่งที่ผู้คนคุ้นเคยและมีอารมณ์ร่วมอยู่แล้ว มันจึงเป็นพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้เราตั้งคำถามที่ใหญ่กว่านั้นได้

ผมอยากชี้ให้เห็นสิ่งนี้ เพราะในโลกการเมืองปัจจุบัน กลไกแบบเดียวกันนี้กำลังมีอิทธิพลอย่างมาก และผู้คนสามารถตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของมันได้ง่ายอย่างน่ากลัว

เราควรนำเสนองานนี้ด้วยท่าทีแบบไหน ชวนให้ผู้ชมดื่มด่ำไปกับงานศิลปะ หรือให้ใช้สมองวิเคราะห์และชำแหละความคิด

Paul Pfeiffer: ผมไม่เชื่อในแนวคิดที่ต่อต้านความงาม (anti-aesthetic) ซึ่งเป็นขนบหนึ่งของการวิพากษ์ศิลปะที่มองว่าผู้ชมไม่ควรรู้สึกเพลิดเพลินหรือบันเทิงกับงานนั้น ผมคิดว่าความบันเทิงก็มีความสำคัญ และไม่ควรถูกมองข้าม

ผมไม่ได้แค่ชื่นชมงานเบื้องหลังในเวทีมวยที่มีหน้าที่กระตุ้นอารมณ์ของผู้ชม แต่ผมอยากทำความเข้าใจและศึกษามันไปพร้อม ๆ กัน ผมเชื่อว่าเพื่อจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้จริง เราต้องอนุญาตให้ตัวเองดื่มด่ำและดำดิ่งเข้าไปในประสบการณ์นั้นก่อน

ในการแสดงครั้งนี้ เราพยายามสร้าง ‘เวทมนตร์’ ขึ้นมา และในเวลาเดียวกันก็พยายามทำลายมนตร์สะกดนั้นด้วย คุณจะได้เห็นสิ่งที่ทั้งยิ่งใหญ่ อลังการ และตระการตา อาจรู้สึกเพลิดเพลินไปกับมันจนเผลอลืมตัวเองไปเลยก็ได้

คุณออกแบบความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งต่าง ๆ ในเบื้องหลังเวทีมวยนี้ต่อกันและกัน และความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเหล่านั้นกับผู้ชมอย่างไร

Paul Pfeiffer: สำหรับผม ดนตรีเป็นหนึ่งในวิธีสำคัญที่ช่วยสร้างความตื่นเต้นให้กับการต่อสู้ ผมมาจากครอบครัวดนตรี พ่อแม่ของผมทั้งคู่เป็นนักดนตรีในโบสถ์คริสต์ ดังนั้นผมจึงคุ้นเคยกับการใช้ดนตรีเพื่อสร้างอารมณ์ในพิธีกรรมกลุ่ม และผมสนใจพื้นที่แบบนี้ในลักษณะเดียวกัน
ผมมองว่าวงดนตรีไทยที่บรรเลงประกอบมวยก็เหมือนกับ ‘เครื่องผลิตอารมณ์’ (emotional generator) ภายในพื้นที่นี้

บางครั้ง ถ้าเรานำนักกีฬาซึ่งเป็นจุดสนใจของผู้ชมออกไป แล้วให้ความสนใจกับนักดนตรีที่อยู่เบื้องหลังแทน เราจะเห็นกระบวนการผลิตอารมณ์ทั้งหมดที่ซ่อนอยู่ภายในเวทีได้ชัดเจน
ผมสร้างพื้นที่แห่งการดำดิ่ง (immersive) และไม่เป็นเส้นตรง (nonlinear) ภายในพื้นที่นี้ องค์ประกอบทั้งหมดจะดำรงอยู่หรือเกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน ทั้งอดีต ปัจจุบัน การบันทึกล่วงหน้า และการแสดงสด สำหรับผม นี่คือภาษาของประสบการณ์ที่เราเจอในชีวิตประจำวัน ยิ่งนึกถึงสื่อสังคมออนไลน์ เราต่างก็เคลื่อนเข้าออกจากมิติทางเวลาและสถานที่ที่แตกต่างกันอยู่ตลอดเวลา

มันคือการจัดวางใหม่ (rearrange) มากกว่าการลบองค์ประกอบออกไปหรือเปล่าสำหรับงานนี้

Paul Pfeiffer: ใช่ครับ มันเป็นการจัดวางมากกว่าการลบ ที่นี่เปรียบเสมือน ‘วิหารแห่งการสื่อความ’ (temple of mediation) ซึ่งทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างความเป็นจริง (the real) กับสิ่งที่เกิดจากการสื่อสาร (the mediated) ตกผลึกออกมา นี่คือสิ่งที่สะท้อนสังคมในศตวรรษที่ 21 หน้าที่ของผมคือพยายามปรับตัว ทำความเข้าใจ และสร้างอีกรูปแบบของการดัดแปลงจากภาษาของสื่อ (mediation) ที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติในพื้นที่นี้

คุณมองว่าคนทำงานเบื้องหลังต่าง ๆ ในวงการกีฬาจะทำงานเปลี่ยนไปไหม หลังจากร่วมทำหรือร่วมชมผลงานนี้

Paul Pfeiffer: ผมคิดว่าหลายคนมองงานศิลปะกับกีฬาและความบันเทิงเป็นสิ่งที่แยกจากกันชัดเจน (เหมือนสองฝั่งห่างกัน) แต่ไม่ว่าคุณจะเห็นด้วยหรือไม่ ในมุมของผม สองบริบทนี้กำลัง หลอมรวมเข้าด้วยกัน และผมหวังว่าผู้คนที่ผมร่วมงานด้วยในครั้งนี้จะมองเห็นทุกสิ่งแตกต่างไปจากเดิม

ยกตัวอย่างเช่น ในวงดนตรี เราได้นำเครื่องดนตรีพิเศษบางอย่างที่ปกติไม่ได้ใช้ระหว่างการชกเข้ามา ทำให้วงเดิมต้องปรับตัวให้เข้ากับเครื่องใหม่ ๆ ซึ่งนั่นก็สร้างความเปลี่ยนแปลงไปบ้างแล้ว
เวทีมวยราชดำเนินกำลังฉลองครบรอบ 80 ปีในปีนี้ และพวกเขาก็มีการทดลองอยู่เสมอ ทุกฤดูกาล พวกเขาคิดสิ่งใหม่ ๆ เพื่อให้น่าสนใจและดึงดูดผู้ชมกลุ่มใหม่ ๆ เวทีมวยราชดำเนินทดลองวิธีการเล่าเรื่องใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อนำเสนอประเพณีกีฬาโบราณนี้ ซึ่งสำหรับผม มันเต็มไปด้วยความเป็นศิลปะ

หลังจากจบการแสดงนี้ ผมจะไปเตรียมงานอีกชิ้นในอิตาลี เป็นการแสดงที่ใช้เสียงในการดึงดูดคล้ายกัน ในงานนั้นผมทำการทดลองเชิงคาดการณ์ (speculative experiment) ว่าสเตเดียมที่จุคนได้หนึ่งล้านคนจะมีลักษณะเป็นอย่างไร นี่เป็นการต่อยอดในแนวทางเดียวกัน คือการพูดด้วยภาษาของกีฬาแบบมืออาชีพ แต่ก็จินตนาการไปถึงอนาคต ผ่านเรื่องราวของกีฬาเหล่านั้น ผมเข้าไปเรียนรู้ภาษาของพวกเขา และพยายามสร้างถ้อยแถลงบางอย่างด้วยภาษาของสนามกีฬาแห่งนี้

การแสดงสด 'Match of Legend' โดย พอล ไฟเฟอร์
📅 วันที่: 26 ตุลาคม และ 2 พฤศจิกายน 2568
🕛 เวลา: 12.00–15.00 น.
📍 สถานที่: เวทีมวยราชดำเนิน กรุงเทพฯ
💥 เข้าชมฟรี