สู่วัฒนธรรมแห่งการ ‘ฉาย’ ข้อสังเกตการณ์ของคนรักหนังในสามวันแห่งเคล็ดลับ ความเชื่อ และความสัมพันธ์ของพื้นที่หนังอิสระ ในงาน ‘Talking–Cine’

Post on 2 September 2025

ทุกคนนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง หลังไฟในห้องฉายค่อย ๆ สว่างขึ้น ก่อนที่เราจะเริ่มทำความเข้าใจช่วงเวลาที่ผ่านมา ว่ามันคือมนต์สะกด คือพิธีกรรม และคือโลกแห่งจิตวิญญาณที่เดินทางมาพร้อมกับการฉายภาพยนตร์ A Night We Held Between (Noor Abed, 2024) ส่วนหนึ่งของโปรแกรมเปิดงาน ‘Talking–Cine’ งานสามวันแห่งการฟูมฟักวัฒนธรรมภาพยนตร์ ซึ่งเหล่านักฉายและนักจัดโปรแกรมจากทั่วประเทศนัดหมายมารวมตัวกันที่จังหวัดเชียงใหม่

พลังขับเคลื่อนที่พาเรามาเจอกันครั้งนี้ถูกสรุปไว้ด้วยคำเดียวคือ “ฉาย!” เพราะการฉายไม่ใช่เพียงกิจกรรมบันเทิงตลอดชั่วโมงกว่า ๆ หากแต่เป็นการเชื่อมต่อชีวิตบนโลก เป็นการต่อต้าน เป็นการโอบอุ้ม และยังเป็นกิจกรรมทางวัฒนธรรมที่สังคมเราอาจกำลังโหยหาอยู่ เพื่อใช้รับมือกับการครอบงำที่ผลิตซ้ำความสร้างสรรค์ดุจอัลกอริทึม

เราเดินทางไปที่เชียงใหม่ในฐานะสื่อตามคำชวนของ Dude, Movie กลุ่มฉายหนังเจ้าบ้านเชียงใหม่ แต่หัวใจสำคัญของงานนี้จริง ๆ คือเหล่านักฉายชาวไมโครซินีมา (และพื้นที่ภาพยนตร์รูปแบบอื่น ๆ) ที่มาเข้าร่วมและมาแลกเปลี่ยนแนวคิดและประสบการณ์ ผ่านในเวิร์กช็อปซึ่งนำโดย เม – อาดาดล อิงคะวณิช และ ก้อง ฤทธิ์ดี ตั้งแต่ประเด็นพื้นฐานอย่างเราจะฉายกันไปทำไม (“แรงผลักดัน” ที่ขับให้เราฉายคืออะไร?) ไปจนถึงเรื่องเชิงปฏิบัติการณ์อย่างการเจรจาสิทธิ์สำหรับการนำมาฉาย (หรือว่าจะชวนสื่อไปดีไหมถ้าจะจัดงานฉายหนัง) (“ดี” ผู้เขียนตอบในฐานะคนทำงานสื่อคนหนึ่ง)

นอกจากนี้ยังมีงานเสวนาจากผู้มีประสบการณ์ในวงการ ไม่ว่าจะเป็น ธิดา ผลิตผลการพิมพ์ ที่เล่าถึงการทำโรงหนัง Doc Club & Pub และวิธีรับมือกับกฎเกณฑ์ต่าง ๆ, แมรี่ ปานสง่า ที่นำเทศกาลหนังทดลองกรุงเทพฯ กลับมาอย่างยิ่งใหญ่เมื่อต้นปีที่ผ่านมา, รวมถึง ส้ม ศุภปริญญา และ อธิคม มุกดาประกร ที่เล่าประวัติศาสตร์การฉายหนังในมหาวิทยาลัยและในเมืองเชียงใหม่ ผ่านการทำ Chiang Mai Art Conversation

โปรแกรมภาพยนตร์ทั้งสามที่กำลังจะออกเดินทางไปฉายตามไมโครซินีมาทั่วประเทศ คือคำประกาศถึงศักยภาพของ “การฉาย” และของหนังเอง ว่าเพียงแค่การฉายก็สามารถเป็นการต่อต้านได้ในตัว หากภูมิประเทศและวัฒนธรรมกำลังถูกทำลายและเลือนหายไปจากโลก การฉายจึงกลายเป็นกิริยาตอบโต้ต่อกลไกอำนาจในปัจจุบัน และยังเป็นกระบวนการที่พาเราเปลี่ยนตัวตนไปสู่โลกอีกใบที่มีวิธีรับรู้สิ่งต่าง ๆ แตกต่างออกไปจากเดิม

ภาพยนตร์เหล่านี้ชี้ให้เห็นวิกฤติหลากหลายรูปแบบที่มักถูกบดบังด้วยวิธีคิดกระแสหลัก ซึ่งแทรกซึมอยู่ในทุกมิติของชีวิตผ่านระบอบการฉายในตลาดหลัก การ “ทดลอง” บนจอจึงไม่ใช่เพียงทางเลือกของความงามอีกรูปแบบ แต่ยังเป็นการเปิดชุดคุณค่าใหม่ ๆ ที่เราและสังคมอาจใช้ในการมองสภาพแวดล้อมรอบตัว

เช่นเดียวกับการแสดงสด ผีตากผ้าอ้อม ในคืนแรกของงาน โดย ไกร ศรีดี, สิรศิลป์ ปังประเสริฐกุล และ น้ำว้า ปณิชา ที่พาผู้ชมเผชิญหน้ากับแสงและอำนาจของมันในการกำหนดการรับรู้อย่างเข้มข้น การแสดงดังกล่าวได้ขยายประสบการณ์การมองและการฟัง พาเราไปสังเกตดวงดาว ดวงไฟ รวมถึงภาพและเสียงอื่น ๆ ในชีวิตที่ถูกทำให้แตกกระจายและเน้นหนัก จนผู้ชมต้องค้นหาวิธีทำความเข้าใจสิ่งเหล่านั้นใหม่อีกครั้ง

ทั้งหมดนี้ตอกย้ำว่า “การฉาย” เกี่ยวข้องกับชีวิตได้มากเพียงใด และทำให้เครื่องมือ เทคนิค รวมถึงวิธีการฉายทั้งหลายยิ่งมีความสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการทำความเข้าใจบริบทของสถานที่ฉาย ทั้งในแง่ระบบการฉายและความหมายของพื้นที่ การพิจารณาแรงขับที่ทำให้เกิดการฉาย ว่ามันมุ่งส่งเสริม หรือตอบสนองสิ่งใด การคิดถึงผู้ชมว่าจะขยายหรือรักษาจำนวนเดิม จะตอบสนองตามรสนิยมเดิมหรือแนะนำรสนิยมใหม่ การจัดการกับแหล่งทุนว่าจะให้เหตุผลกับใคร และเข้าถึงทุนจากที่ใด การคัดสรรหนังและกิจกรรมเพื่อจัดทำเป็นโปรแกรม รวมไปถึงการบริหารจัดการเบื้องหลัง ตั้งแต่งบประมาณไปจนถึงทีมงาน ทุกองค์ประกอบเหล่านี้ล้วนสะท้อนให้เห็นว่าการฉายไม่ใช่เพียงการเปิดหนังให้คนดู แต่เป็นกระบวนการที่เชื่อมโยงเข้ากับชีวิต สังคม และวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้ง

เมื่อทั้งหมดนี้ร้อยเรียงเข้าด้วยกัน ประกอบกับบทสนทนาทั้งหมดบนโต๊ะอาหารในแต่ละวันด้วย ‘Talking–Cine 2025: ฉาย!’ กลายเป็นภาพที่เด่นชัดของเครือข่ายที่พร้อมขยับ และสร้างแรงสั่นสะเทือนไปได้ลึกซึ้งและต่อเนื่อง

บางทีหนทางสู่วัฒนธรรมแห่งการฉายที่เปิดกว้างในไทย อาจไม่ได้มืดมนเท่าไรนัก

Talking–Cine 2025: ฉาย! จัดโดย Dude, Movie ที่ TCDC Chiang Mai เมื่อวันที่ 15–17 สิงหาคม 2568