เปลี่ยนภาพจำศูนย์การค้าด้วยความสร้างสรรค์กับ Art In The Mall ทีมอาร์ตตัวจี๊ดแห่งเครือ The Mall Group

Post on 19 December 2025

ถ้าบ้านเรามีการประกวดศูนย์การค้าสุดครีเอทีฟขวัญใจคนไทย หนึ่งในชื่อที่เราจะขอส่งเข้าไปเป็นตัวตึงคงหนีไม่พ้นศูนย์การค้าใน EM District ที่ประกอบไปด้วย Emquatier, Emporium และ Emsphere เพราะเชื่อว่า หลาย ๆ คนที่เคยแวะมาเดินเล่น กินข้าว หรือช้อปปิ้งที่นี่น่าจะต้องเคยเห็นผลงานการตกแต่งศูนย์การค้าที่สะกดสายตา จนไม่ลืมที่จะกดชัตเตอร์ถ่ายรูปมุมเริ่ด ๆ ในศูนย์การค้ามาแล้วอย่างแน่นอน

โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลคริสต์มาส ตรุษจีน หรือแม้แต่เดือนแห่งความหลากหลายอย่าง Pride Month ที่ไม่รู้ว่าพวกเขาจะทำถึงไปถึงไหน (ไปได้อีก) กับการตกแต่งทั้งภายในศูนย์การค้าและตลอดทางเดินเข้าศูนย์การค้าได้อย่างน่าสนใจ เรียกทั้งสีสันความสดใสให้กับแขกบ้านอย่างคนไทยและแขกเมืองอย่างชาวต่างชาติให้ได้รับพลังแห่งความสร้างสรรค์ไปเต็ม ๆ

และวันนี้เอง การเดินศูนย์การค้าของเราไม่ได้มีเป้าหมายที่จะมาซื้อเสื้อผ้าหรือหาของกินแต่อย่างใด แต่เราจะได้เข้าไปบุกออฟฟิศของผู้อยู่เบื้องหลังการตกแต่งสวย ๆ ของทั้งสาม EM คือ Emquatier, Emporium และ Emspher รวมถึงศูนย์การค้า The Mall ด้วย

พวกเขาเปลี่ยนภาพจำเดิม ๆ ของห้างให้สดใสและแปลกใหม่ด้วยการนำศิลปะและการออกแบบเข้ามาผสมผสานกับธุจกิจค้าปลีกได้อย่างไร อะไรคือจุดยืนและแรงบันดาลใจในการทำงานออกแบบภายในศูนย์การค้า และทำไมงานของพวกเขาถึงต้องมีความเปรี้ยวซ่าขนาดนี้ วันนี้เราจะได้คุยกับ ไซมอน พิลลาร์ด (Simon Pillard) ครีเอทีฟไดเรกเตอร์ชาวฝรั่งเศสแห่ง Art In The Mall และทีมอาร์ตสุดจี๊ดไปพร้อมกัน เพราะเราเชื่อว่า มีหลายคนที่เคยเห็นผลงานของพวกเขา แต่ยังไม่รู้ว่าพวกเขาคือใคร ตามมารู้จักพวกเขาให้มากขึ้นได้ในบทสัมภาษณ์นี้ได้เลย

GC: แนะนำทีม Art In The Mall ให้ทุกคนรู้จักมากขึ้นหน่อย

Simon: พวกเราเรียกตัวเองว่า ทีม Art In The Mall สองสามปีก่อนเราตั้งใจเปิด Instagram ขึ้นมา เพื่ออยากให้คนได้เห็นเบื้องหลังการทำงานของทีมเรา เราอยากแชร์ให้คนได้เห็นว่า ขั้นตอนการทำงานของทีมเราเป็นยังไง และแน่นอนว่า เราก็อยากให้คนอื่นรู้จักเรามากขึ้นครับ เพราะส่วนใหญ่ที่ทุกคนได้เห็นงานเราก็คือตอนงานเสร็จสมบูรณ์แล้ว

จริง ๆ ทีม Art In The Mall เราเป็นทีมเล็ก ๆ ที่มีสมาชิก 6 คน ทำหน้าที่ในการดูแลเรื่องงานศิลปะทั้งหมดของเครือเดอะมอลล์กรุ๊ป พวกเราเป็นเหมือนทีมที่ให้คำปรึกษาและช่วยดูเรื่องทิศทางของงานศิลป์ให้กับหลาย ๆ ฝ่ายในบริษัท งานหลัก ๆ ของเรามีทั้งหมด 5 งานใหญ่ต่อปี เริ่มจากงานคริสต์มาส ตรุษจีน หลังจากนั้นก็จะเป็นงานในช่วงฤดูร้อน แล้วก็ช่วงเทศกาลที่พิเศษสำหรับเราก็คือ Pride Month เดือนมิถุนายน และสุดท้ายคืองาน Empression อย่างงานที่หลายคนน่าจะเคยเห็นผ่านตาก็จะเป็นงานออกแบบต้นคริสต์มาสใน EM District ทั้ง Emquatier, Emporium และ Emsphere รวมไปถึง The Mall ส่วนของในเครือ The Mall เราใช้ชื่อว่า Art Dialogue ที่เราจะให้อิสระกับศิลปินได้มาแสดงผลงานของตัวเองครับ ซึ่งแต่ละสาขาของ The Mall Group เองก็ต้องมีคอนเซ็ปต์และดีไซน์ที่แตกต่างกันด้วย

แล้วก็รวมไปถึงงานออกแบบโลโก้ร้านอาหาร และออกแบบถุงช้อปปิ้งให้กับ Emporium ด้วย และครอบคลุมถึงงานกราฟิกดีไซน์ งานสามมิติ (3D) งานสิ่งพิมพ์ งานภาพประกอบต่าง ๆ ครับ

GC: ในมุมมองของคนที่ทำงานออกแบบ คิดยังไงกับการที่งานศิลปะเข้าไปอยู่ในศูนย์การค้า และความแตกต่างของทีม Art In The Mall คืออะไร

Simon: เราพยายามเอางานศิลปะเข้าไปอยู่กับศูนย์การค้าให้ได้มากที่สุด เพราะเราเชื่อว่า ศิลปะมันสำคัญกับศูนย์การค้า ซึ่งต้องออกตัวก่อนว่า ก่อนที่ผมจะมาร่วมงานกับที่นี่ ทาง The Mall Group เขาก็มีอีเวนต์ที่เกี่ยวกับการเอาศิลปะไปจัดวางในศูนย์การค้าอยู่แล้วครับ ส่วนที่ผมมาทำงานที่นี่ หน้าที่ของผมคือการดูแลเรื่องงานตกแต่งตามฤดูกาล

ตอนที่ผมเข้ามาทำงานแรก ๆ ผมอยากจะปั้นสตูดิโอครีเอทีฟเล็ก ๆ แล้วก็ดึงคนจากทีมใหญ่เพื่อสร้างออฟฟิศนี้ขึ้นมา แล้วก็รู้สึกโชคดีมาก ๆ ที่ได้สมาชิกทีมเหล่านี้มา ซึ่งในช่วงแรก ๆ ที่พวกเราทำงานกัน ผมได้รับมอบหมายจากทีมการตลาดให้ดูแลโปรเจกต์ จากหนึ่งกลายเป็นสอง แล้วก็มีงานชิ้นใหญ่ ๆ ผุดขึ้นมาเรื่อย ๆ ครับ

ที่หลายคนเห็นว่า ทีมเราดูแตกต่างและน่าสนใจ ส่วนหนึ่งผมคิดว่า งานที่เราทำมันไม่ได้ถูกขับเคลื่อนด้วยฝ่ายการตลาด ไม่ได้ทำเพื่อโปรโมตอะไร แต่สิ่งที่เราทำคือการสร้างความสุขให้กับลูกค้า ผมมองว่าห้างคือแกลอรีศิลปะขนาดใหญ่ ซึ่งไม่ใช่ว่าเราไม่ได้คิดเรื่องการค้านะครับ แต่เราโชคดีตรงที่เราไม่ได้สังกัดแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง ภารกิจของเราคือการทำให้ลูกค้ามีความสุข ตื่นเต้น และมีประสบการณ์ที่ดีเวลามาที่นี่ ซึ่งผมคิดว่า นี่คือความแตกต่างครับ ทีมเราทำงานโดยขับเคลื่อนด้วยความคิดสร้างสรรค์

GC: การเป็นทีมครีเอทีฟ เคยโดยจำกัดกรอบการทำงานบ้างไหม

Simon: จริง ๆ มันก็มีข้อจำกัดอยู่บ้างครับ อย่างการที่เราทำงานในพื้นที่ศูนย์การค้ามันต้องคำนึงถึงแบรนด์อื่นที่อยู่ในพื้นที่เดียวกันด้วย ยกตัวอย่างงานก่อนหน้านี้ ทีมเราได้ออกแบบม้านั่งรูปทรงคล้ายเปลือกหอยเป็นงานที่ทำมือจากหวายทั้งชิ้น ซึ่งเราเอางานชิ้นนี้ไปวางครอบเสาในศูนย์การค้า ซึ่งจริง ๆ แล้วที่ตรงนั้นมันคือหน้าร้านของแบรนด์หนึ่งครับ สุดท้ายเราก็ต้องยกออก เพราะเราไม่สามารถไปวางของบังหน้าร้านของเขาได้ เพราะจะกระทบเรื่องความเป็นส่วนตัวของลูกค้าที่มาใช้บริการในร้านครับ ซึ่งถ้าถามว่าผมเสียดายไหม ก็ต้องบอกเสียดายนะ เพราะงานชิ้นนี้ใช้ทั้งความประณีตและเป็นงานที่ออกมาสวยมาก ๆ แต่ก็นั่นแหละครับ นี่ถือเป็นเคสตัวอย่างที่ดีที่ถึงแม้ว่า เราจะมีไอเดียหรือทำงานได้ออกมาดีแค่ไหน เราก็อาจจะไม่สามารถทำทุกอย่างตามใจตัวเองได้ทั้งหมด

GC: ในฐานะที่เป็นชาวต่างชาติที่มาทำงานในบริบทของความเป็นไทย คิดว่าความท้าทายคืออะไรบ้าง

Simon: ผมคิดว่าการเป็นชาวต่างชาติมันเป็นข้อได้เปรียบครับ เพราะผมสามารถเล่นกับองค์ประกอบความเป็นไทยได้เยอะมาก ๆ ยกตัวอย่างว่า ในฝรั่งเศส ถ้าคุณขอให้ผมเอาหอไอเฟลหรือภาพจำที่นำเสนอความเป็นฝรั่งเศสมาใช้ในงานออกแบบ มันอาจจะไม่ค่อยน่าตื่นเต้นสำหรับผม เพราะผมเห็นมาตลอดชีวิต แต่พอผมมาอยู่ไทยทุกอย่างมันใหม่ ผมมองเห็นสิ่งธรรมดาด้วยสายตาที่ต่างออกไป อย่างเวลาเดินตามท้องถนน ผมเห็นคนซ่อมเก้าอี้ ซึ่งวิธีการที่เขาซ่อมมันเป็นอะไรที่น่าทึ่งสำหรับผมมาก ๆ คนเหล่านั้นคือดีไซเนอร์ที่มีพรสวรรค์มาก ๆ ครับ มันเป็นงานศิลปะที่สามารถเอาไปตั้งโชว์กลางพิพิธภัณฑ์ได้เลยด้วยซ้ำ

อีกตัวอย่างคือโปรเจกต์ที่เราทำช่วงหน้าร้อนที่ผ่านมา เราเอาผ้าใบที่เป็นลายทางขาวน้ำเงินที่ช่างก่อสร้างใช้ห้คลุมตัวอาคารมาทำเป็นงานออกแบบ ผมชอบเอาวัสดุที่ราคาจับต้องได้มาดัดแปลงเป็นสิ่งใหม่ที่น่าสนใจมากขึ้น เหมือนเป็นการจับคู่ที่ลงตัวของวัสดุจนกลายมาเป็นงานชิ้นใหม่

แต่ก่อนที่ผมจะปรับตัวหรือหาไอเดียให้ตัวเองเจอ เมื่อก่อนช่วงแรก ๆ ที่ผมมาทำงาน ผมก็เคยพลาดนะ ตอนนั้นจำได้ว่าผมออกแบบงานศิลปะที่เป็นรูปสัตว์ โดยที่ขาสัตว์อยู่ในลักษณะห้อยลงมาบนหัวคนที่เดินอยู่ในศูนย์การค้า ในตอนนั้นผมคิดว่ามันเท่มาก แต่ก็ได้รับฟีดแบคมาว่า สำหรับคนไทยแล้ว ดีไซน์แบบนี้มันดูไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่ สิ่งเหล่านี้แหละครับที่ทำให้ผมได้เรียนรู้ ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังคงต้องเรียนรู้อยู่ทุกวันครับ

GC: ผลงานของคุณในแต่ละโปรเจกต์มักจะมีการใช้วัสดุรีไซเคิลและวัสดุเหลือใช้บ่อย ๆ อยากรู้ว่า ทีมมีมุมมองเรื่องความยั่งยืนยังไงบ้าง และคิดว่างานศิลปะกับความยั่งยืนมันไปด้วยกันมากน้อยแค่ไหน

Simon: พวกเราพยายามในเรื่องนี้มากครับ แต่ต้องบอกก่อนว่า งานของเรามันยากที่จะยั่งยืนแบบ 100 เปอร์เซนต์ เพราะงานของเราคือการตกแต่งตามฤดูกาล และคำว่าตกแต่งจริง ๆ มันก็ไม่ได้ยั่งยืนเต็มร้อยอยู่แล้วครับ มันเป็นของชั่วคราว แต่เราก็พยายามใช้วัสดุที่ยั่งยืน พยายามนำกลับมาใช้ซ้ำประมาณ 70%

ตอนเทศกาลตรุษจีน เราใช้ผ้าไปเยอะมาก เพราะต้องพิมพ์ลายโคมไฟ มันเป็นงานที่เน้นงานกราฟิกดีไซน์ หลังจบงานเราก็เลือกจะบริจาคผ้าทั้งหมดให้โรงเรียนแฟชั่นให้เขาเอาไปใช้ต่อ เราก็จะส่งต่อให้อาจารย์นำไปให้นักเรียนทำเครื่องประดับหรือต่อยอดทำสิ่งอื่น ๆ ต่อไปครับ

อีกหนึ่งเคสคือบางครั้งเราไม่มีทางเลือก เราจำเป็นต้องใช้โฟม ซึ่งรู้นะว่า มันไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เราเลยเลือกที่จะบริจาคต่อให้กับโรงเรียนต่าง ๆ ถ้านับคือตอนนี้เราส่งต่อให้กว่า 30 โรงเรียนแล้วครับ และผมเองก็พยายามออกแบบงานตกแต่งตามฤดูกาลให้สามารถนำไปใช้ซ้ำได้ทุกปี เช่น การใช้โครงสร้างเดิมแต่เปลี่ยนวัสดุการห่อตามเทศกาล เพื่อเป็นการใช้วัสดุให้คุ้มค่าและช่วยเรื่องต้นทุนด้วย

GC: เล่าถึงการทำงานในโปรเจกต์ Friend Friend หน่อยว่า ทีม Art In The Mall ดูแลในส่วนไหนบ้าง

Simon: เราทำงานให้กับร้าน Colorama ซึ่งเป็นร้านอาหารที่อยู่ใน Friend Friend หน้าที่หลักคือการสร้างภาพลักษณ์ให้กับแบรนด์ ตั้งแต่การทำโลโก้ ทำเล่มเมนู ไปถึงสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ ซึ่งการออกแบบเมนูไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เลย เพราะต้องทำทั้งถ่ายภาพ วางเลย์เอาต์ และต้องอัปเดตสิ่งเหล่านี้ตลอดเวลา นอกจากนี้เราก็ดูแลองค์ประกอบอื่น ๆ อย่างการตกแต่งในร้าน เช่น ลวดลายบนกำแพงที่ใช้เทคนิคการวาดและเขียนด้วยมือ รวมถึงการดูเรื่องรายละเอียดเล็ก ๆ อย่างโคมไฟและองค์ประกอบอื่น ๆ เพื่อสร้างบรรยากาศ

แล้วเราก็ดูแลในเรื่องงานศิลปะจัดวางที่ทุกคนแวะมาถ่ายรูปกัน ซึ่งจริง ๆ ตรงนั้นมันเหมือนเป็นภาพจำของ Friend Friend เลยครับ ซึ่งงานที่ผมออกแบบร่วมกับทีม ผมได้รับแรงบันดาลใจมาจาก ผลงานของดีไซเนอร์ยุค 80s จากมิลานชื่อ เอตโตเร ซอตซาส (Ettore Sottsass) ผมเลือกจะทำเป็น ‘เสาโทเท็ม’ เพื่อสร้างความรู้สึกเหมือนอยู่ในป่ารูปทรงเรขาคณิต ใช้วัสดุเป็นกระดาษแข็ง แล้วแปะทับด้วยกระดาษเปเปอร์มาเช่และลงสีกันเองทั้งหมด ซึ่งตอนที่ทำงานโปรเจกต์นี้ผมก็คิดถึงความหมายของมันอยู่ตลอด แต่สุดท้ายก็รู้ว่า ความหมายที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่งาน แต่อยู่ที่เวลาที่ได้ใช้ร่วมกันกับทีมในการสร้างมัน เราใช้เวลาทำกันประมาณเดือนครึ่ง เปิดเพลง ทำงานไปด้วยกัน มันสนุกมาก นั่นแหละครับคือโทเท็มแห่งมิตรภาพของพวกเรา

GC: มีอะไรที่ยังอยากทำหรืออยากท้าทายตัวเองอีกไหม

Simon: สองปีข้างหน้าเรามีแพลนที่จะเปิดศูนย์การค้าขนาดใหญ่อีกหนึ่งแห่งครับ ซึ่งหน้าที่ของพวกเราก็คือการตกแต่งพื้นที่ของศูนย์การค้า และแน่นอนว่าเราจะทำมันให้สุดความสามารถของพวกเรา ส่วนโปรเจกต์ที่เพิ่งจบไปก็คือ นิทรรศการโปสเตอร์ 88 ชิ้น ที่เราให้ศิลปินและคนที่สนใจตีความย่านสุขุมวิทในมุมมองของตัวเองเข้ามา ซึ่งผลตอบรับมันน่าทึ่งมาก ๆ มีคนส่งมากันเยอะมาก ทั้งจากเด็กอายุ 8 ขวบ ไปถึงนักศึกษาและศิลปินมืออาชีพกว่าพันคนเลยครับ